หน้าแรก Home Case Study พัฒนาโครงสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ขององค์กรในทุกมิติ ด้วยแพลตฟอร์มอัจฉริยะ VMware Cloud Foundation 5.2

พัฒนาโครงสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ขององค์กรในทุกมิติ ด้วยแพลตฟอร์มอัจฉริยะ VMware Cloud Foundation 5.2

แบ่งปัน

เป็นที่ทราบกันแล้วว่าการรวมกันระหว่าง Broadcom และ VMware เป็นอันสิ้นสุดแล้วซึ่งเป็นเงินมูลค่ากว่า 64 พันล้านเหรียญฯ และจากการควบรวมครั้งนี้ก่อให้เกิดการปรับปรุงทั้งในแง่ของการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์และการวางกลยุทธ์ด้านไลเซ่นส์ใหม่ที่ต้องบอกว่าคุ้มค่าสำหรับผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ภายใต้ชื่อ VMware by Broadcom

VMware Cloud Foundation (VCF) เป็นแพลตฟอร์มที่ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานแบบเดียวกับ Public Cloud ใน Data Center ในรูปแบบที่เป็น Hybrid, Multi-Cloud และจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและมีการจัดกลุ่มแพ็กเกจโซลูชั่นของ VMware ใหม่โดยได้มีการเพิ่มคอมโพเน้นท์ที่น่าสนใจ ในแง่ของการทำขยาย, การสร้างเสริมด้านความปลอดภัย พร้อมๆ กับบูรณาการระบบให้เหมาะแก่การสร้างนิเวศน์ด้านคลาวด์มากขึ้นนั่นเอง ล่าสุดเพิ่งมีการอัพเดตใหม่เป็นรุ่น VMware Cloud Foundation 5.2 (VCF 5.2)

เจาะลึกแพลตฟอร์ม VMware Cloud Foundation (VCF)

VMware Cloud Foundation คือแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นระดับเอนเตอร์ไพรส์ที่รวมเอาความสามารถต่างๆที่จำเป็นต้องมีในการสร้างคลาวด์แพลตฟอร์ม เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อส่งต่อประสบการณ์การใช้งานคลาวด์ด้วย TCO ที่ดีกว่าเดิม บน on-premises เช่น สร้างบริการในส่วนของ Compute ด้วย vSphere, VM Templates/Automation Catalog , สร้างบริการในส่วนของ Storage ด้วย vSAN ,  บริการในส่วนของ Network ด้วย NSX  และ NSX VPC, บริการในส่วนของ Kubernetes ด้วย vSphere with Tanzu Kubernetes , ในส่วนของการทำ Self-services, Automations, Operations, Infrastructure as a Code ด้วย Aria Suites รวมถึงล่าสุด VMware Cloud Foundation ยังมากับความสามารถที่ช่วยให้การสร้าง Database as a Services ได้ง่ายขึ้นด้วย Data Services Manager (ซึ่งปัจจุบัน รองรับ PostgresSQL, MySQL และ Google AlloyDB (preview))

จุดเด่นของ VMware Cloud Foundation คือ มีเครื่องมือที่ช่วย บริการจัดการ Software Define Stack ที่ใช้ในการสร้างคลาวด์ด้วย SDDC Manager ซึ่งช่วยให้บริหารจัดการระบบ Workload ต่างให้สามารถดูแลได้อย่างง่ายๆภายไต้สิ่งที่เรียกว่า Workload Domain ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นอัตโนมัติ ช่วยให้การทำ Lifecycle Management, รองรับการขยายขนาดของฮาร์ดแวร์และ Workload ปริมาณมากๆได้ง่ายขึ้น รวมถึงรองรับการใช้งานไฮบริดคลาวด์ ครอบคลุมทั้ง Private Cloud และ Public Cloud โดยล่าสุดทาง VMware by Broadcom ได้ประกาศความร่วมมือในการนำ Bring your own subscription (BYOS) ของ VMware Cloud Foundation ในการไปรันอยู่บน Google Cloud, Azure Cloud และน่าจะมี Public Cloud เจ้าอื่นๆเพิ่มติมในอนาคตอีกด้วย  ซึ่งหลายๆจุดที่ได้กล่าวมานี้เองทำให้ VMware Cloud Foundation เหมาะสำหรับองค์กรที่มองหาโซลูชั่นในการ เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวของโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ เสริมความปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎระเบียบธรรมาภิบาลต่างๆ ขององค์กร และช่วยลดต้นทุน (TCO) ในการดำเนินงานแก่องค์กรด้วย

มากไปด้วยคุณสมบัติอันเหนือชั้น

และล่าสุด VCF 5.2 ที่เพิ่งเปิดตัวไป ก็มาด้วยความสามารถเพิ่มเติมมากมาย เพื่อช่วยให้การสร้าง Cloud ใน ทุุกสภาพแวดล้อมทั้งแบบออน-พรีมีส และไฮบริดคลาวด์ (ทั้งไพรเวทคลาวด์และพับลิกคลาวด์) สามารถทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ในการทำงานกับแอปพลิเคชั่นทุกรูปแบบทั้งแบบดั้งเดิมและแบบโมเดิร์น แอปพลิเคชั่น (App Modernization) รวมถึง AI Applications อีกด้วย

โดยใน VCF 5.2 จะมีคอมโพเน้นท์ต่างๆ อันประกอบด้วย

SDDC MGR 5.2 ช่วยลดความซับซ้อนของการติดตั้งระบบคลาวด์, การปรับเปลี่ยน, การจัดการอัพเดต (Life Cycle Managent) รวมถึงการบำรุงรักษาซอร์ฟแวร์และฮาร์ดแวร์ต่างๆจากศูนย์กลางไว้ในแพลตฟอร์มเดียว

vSphere 8.0 Update3a เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบเสมือน (Virtualization Infrastructure) ภายใน VMware Cloud Foundation ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มที่ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับ โครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ได้เป็นอย่างดี

vSAN 8.0 Update3a เพื่อเป็นระบบการจัดการสตอเรจแบบ Software-Defined ทำให้สามารถรวมทรัพยากรณ์ Storage ภายในฮาร์ดแวร์หลายๆตัวเข้าด้วยกันให้สามารถทำงานร่วมกันได้ในรูปแบบของ Hyper Comverged และใน VCF5.2 รองรับการทำ vSAN Max ซึ่งรองรับความต้องการการจัดเก็บข้อมูลในขนาดที่ใหญ่ขึ้น และเพิ่มเติมในส่วยของการทำงานแบบ Disaggregated Storage ที่ช่วยทำให้บริการ Storage-only cluster ในระดับ Petabyte Scale สามารถทำได้อย่างง่ายดาย รวมถึงรองรับการทำงาน แบบ active-active ในรูปบบที่เป็น Streteched Cluster ข้ามศูนย์ข้อมูลอีกด้วย

NSX 4.2 เพื่อเป็น Network and Security แพลตฟอร์มของระบบคลาวด์ ในรูปแบบที่เป็น Software-Defined (Network Virtualization) ที่มากับ VMware Cloud Foundation เท่านั้น เพื่อมาเสริมความสามารถในการทำ Logical switches, Routers, Firewall และ Load Balance แต่จุดเด่นที่สำคัญของ NSX ก็คือในเรื่องของการทำ Micro-segmentation ที่ช่วยแบ่งแยกระบบ ป้องกันการเข้าถึงเครื่องแม่ข่ายเสมือนและเวิร์คโหลดต่างๆอันไม่ถึงประสงค์ภายใต้เครือข่ายเดียวกัน สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เสมือน security policy ใน public cloud

–  Tanzu Kubernetes (vSphere with Tanzu) ซึ่งเป็น IaaS Control Plane รูปแบบ Kubernetes ที่ Integrate มาภายใต้ vShere ช่วยให้สามารถ สร้างการเวิร์กโหลดประเภทโมเดิร์นแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็น VMs, Containers/Pods, หรือแม้แต่การสร้าง Kubernetes Cluster as a Service แบบ On-Demand สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

Aria 8.18 เพื่อบริหารจัดการด้านคลาวด์ ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องมือในการทำ Operations เพื่อช่วยจัดการเรื่องของ Alerts, Trobleshoot and Remediation, การจัดการ Licenses, Certificates ของ VMware จากศูนย์การ รวมถึงการทำ Capacity Planning และ Costing นอกจากนี้จุดเด่นอีกอย่างของ เครื่องมือในการบริหารจัดการคลาวด์ที่มีใน VMware Cloud Foundation เท่านั้นคือในเรื่องของการทำ Automations ซึ่งรองรับการสร้าง Automations Catalogs, Infrastructure as a Code ทำให้การเริ่มใช้งาน VMware Cloud Foundation เป็นไปได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการใช้งานคลาวด์บน Public Cloud

ด้วยคอมโพเน้นท์ VCF 5.2 จะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างระบบคลาวด์ในองค์กร หรือ Private Cloud ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นยุคใหม่อย่าง App Modernization ได้ดีขึ้น ตลอดจนสามารถเร่งประสิทธิภาพพร้อมสร้างความปลอดภัยให้กับเวิร์กโหลดต่างๆ ในองค์กรได้อย่างยอดเยี่ยม

เพิ่มการบริหารจัดการอินฟราสตรัคเจอร์ด้วย SDDC MGR

SDDC MGR เป็นเครื่องมือที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน VCF 5.2 สามารถเข้ามาจัดการทรัพยากรด้านอินฟราสตรัคเจอร์ขององค์กรต่างๆ (Inventory) เช่น คอมพิวติ้ง, เน็ตเวิร์ก, สตอเรจ ฯลฯ เพื่อดึงทรัพยากรเหล่านั้นมาสร้าง Workload Domain และแยกเป็นคลัสเตอร์ย่อยๆ ได้มากมาย (สามารถขยายถึงระดับพันคลัสเตอร์ต่อหนึ่ง Workload Domain) เพื่อนำเอาเวิร์กโหลดขององค์กร ทั้งแอปพลิเคชั่น, คอนเทนเนอร์, เครื่องวีเอ็ม (VM) ฯลฯ ขององค์กรมาทำงานบนคลัสเตอร์ดังกล่าวได้

การเสริมความปลอดภัยที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเรื่องของระบบพิสูจน์ตัวตัน (Identities Management) โดยใน SDDC ที่อยู่ใน VCF 5.2 มีให้เลือกใช้งานได้อย่างหลากหลาย โดยรองรับได้ทั้งระบบดั้งเดิมที่มาพร้อมใน vCenter อย่างเช่น Open LDAP, AD Over LDAP หรือระบบที่ต่อเติ่มเพิ่มมาอย่าง ADFS หรือ แม้กระทั่งระบบบริหารจัดการพิสูจน์ตัวตนจากภายนอกอย่างเช่นแบรนด์ Okta ก็สามารถรองรับได้เช่นกัน นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สำคัญในการใช้งาน ครอบคลุมความต้องการด้านระบบพิสูจน์ตัวตนในทุกๆ องค์กรอย่างแท้จริง

สร้างระบบ Overlay Networks ด้วย NSX

หนึ่งในคุณสมบัติพิเศษของ VCF 5.2 ก็คือเรื่องของการบริหารจัดการด้านเครือข่ายแบบเสมือนให้กับองค์กร ที่ให้คุณจัดการเครือข่ายได้อย่างเหมาะสม โดยอาศัยการทำงานของคอมโพเน้นท์ที่ชื่อว่า NSX โดยเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้องค์กรแบ่งเน็ตเวิร์กย่อยๆ ออกเป็น Overlay Segment หรือเวอร์ชวลเน็ตเวิร์กย่อยๆ เพื่อนำไปแบ่งให้กับกลุ่มผู้ใช้งานในแต่ละกลุ่มเซิร์ฟเวอร์

ข้อดีของการแบ่งเวอร์ชวลเน็ตเวิร์กนี้ก็คือสามารถขยายเน็ตเวิร์กได้มากกว่าการทำงาน VLAN ที่จำกัดวงอยู่ได้แค่ 4095 วง แต่การทำเวอร์ชวลเน็ตเวิร์กลักษณะนี้สามารถทำให้เราสามารถสร้างซับเน็ตเวิร์กได้มากเป็นล้านซับเน็ตเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้วยังเหนือกว่าด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ NAT เพื่อสามารถทำในด้านของ Routing เครือข่ายได้ รวมไปถึงการบริหารจัดการไฟร์วอลล์ในแต่ละเซกเมนท์ก็ได้เช่นเดียวกัน

การบริหารจัดการสตอเรจด้วยไฮเปอร์คอนเวิร์จ vSAN

เทคโนโลยีรุ่นใหม่นี้สร้างระบบการจัดการด้านสตอเรจในคอนเซปต์ Cloud Foundation Storage โดยตัว vSAN ที่มีอยู่ในแพลตฟอร์ม VCF 5.2 นั้นสามารถสร้างระบบการบริหารจัดการวิธีการเก็บข้อมูลด้วยการสร้างโดเมนหรือคลัสเตอร์ในการจัดการด้านสตอเรจที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงยังสามารถต่อเชื่อมระบบสตอเรจภายนอก (External Storage) รองรับทั้งในแง่ของ FC, NAS, iSCSI หรือแม้กระทั่ง vVols ก็ทำได้เช่นกัน

ตอบโจทย์ประสบการณ์ใน Modern Applications

VCF 5.2 รองรับการทำงานกับแอปพลิเคชั่นแบบใหม่อย่างๆ เช่น Kubernetes โดยมีโซลูชั่น VMware Tanzu ที่มีมาให้แล้ว ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติในการรันเวิร์กโหลดแบบ Kubernetes ได้โดยตรงบนโฮสต์ ESXi  โดยสามารถแบ่งกลุ่มของยูสเซอร์ (หรือนักพัฒนา) ออกเป็นคลัสเตอร์ต่างๆ เพื่อการใช้งาน ทำให้งานต่างรวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

มากด้วยประโยชน์การทำ Lifecycle Management

SDDC MGR ยังมีส่วนช่วยในการจัดการด้านซอฟต์แวร์และแพตช์ที่เกิดขึ้น โดยจะมีการตรวจสอบแอปพลิเคชั่น หรือตรวจสอบแพตช์ใหม่ๆ ทั้งในส่วนของทั้ง Compute, เน็ตเวิร์ก, สตอเรจ พร้อมกับยังสามารถปฏิบัติการโดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์หรือโดเมนที่ทางผู้ดูแลระบบต้องการได้ ตามขั้นตอนกระบวนการของ LCM ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสอบการแจ้งเตือนการอัปเดต, รีวิวตัวอัปเดต, วางแผนเริ่มขั้นตอน (Precheck), กำหนดตารางการอัปเดต, มอนิเตอร์ระบบพร้อมทำรีพอร์ต, และเริ่มทำงานได้ต่อไป

บริหารจัดการคลาวด์อย่างยอดเยี่ยมด้วย VCF 5.2

VCF 5.2 มาพร้อมกับตัวบริหารจัดการคลาวด์อย่าง VMware Aria ที่มีคุณสมบัติในการทำงานมากมายเช่น VMware VCF Aria Operations, VMware VCF Aria Operation for Logs, VCF Aria Opeations for Applications และ VMware VCF Aria Automation เป็นต้น หรือหากต้องการทำการไมเกรตระบบจากดาต้าเซ็นเตอร์แบบเดิม ก็สามารถใช้เทคโนโลยี VMware Hybrid Cloud Extension (HCX) ในการบริหารจัดการย้ายเวิร์กโหลดจากที่ต่างๆ แบบ online โดยไม่ต้องปิดระบบ รองรับการย้ายเวิร์โหลดปริมาณมากๆ แบบ Online ระหว่างศูนย์ข้อมูล, ศูนย์ข้อมูลไปคลาวด์ รวมถึงจากผู้ใหบริการคลาวด์รายหนึ่งไปอีกรายหนึ่งอีกด้วย โดยเวิร์คโหลดนั้นยังสามารถคงสภาพการเชื่อมต่อได้แบบที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (แม้แต่ IP Address) ช่วย สามารถให้คุณบริหารจัดการสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดทั้งไพรเวทคลาวด์ และพับลิกคลาวด์ได้อย่างง่ายดาย

บริการเสริมเพิ่มเติมต่างๆ (Value-Added service) ที่มีใน VCF 5.2 เท่านั้น

นอกจากนี้ VMware Cloud Foundation ยังเป็นโซลูชั่นเดียวที่รองรับบริการเสริมต่างๆไม่ว่าจะเป็น

  • Application Security ด้วย VMware vDefend Firewall and Advance Threat Preventions เพื่อช่วยเสริมความสามารถด้านความปลอดภัยบน VCF ช่วยป้องกันภัยคุกคามต่างๆจาก Threats ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีในรูปแบบ known หรือ unknowns vector หรือ VMware Advance Load Balancer (AVI) เพือช่วยเสริมความสามารถในการทำ Software-Defined Enterprise Load Balancer และ Web Applications Firewall
  • VMware Live Recovery เพื่อช่วยเสริมความสามารถในการทำ Disaster Recovery ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบที่เป็น DC to DC (SRM) หรือ DC to Cloud หรือแม้แต่การทำ Ransomware Recovery ที่มากับความสามารถในการ scan เพื่อหา Recovery Point ที่เหมาะสมเพื่อยามจำเป็นต้อง Recovery ไปยัง DR ได้
  • VMware Private AI Foundation with NVIDIA เพื่อช่วยเสริมความสามารถในการทำ Private AI บน VMware Cloud Foundation ร่วมกับ Software NVIDIA AI Enterprise สามารถเป็นไปได้อย่างง่ายดาย สามารถใช้ความสามารถของ Automation ที่มากับ VCF ในการติดตั้ง Deep Learning VMs,เลือก Large Language Models (LLMs) ที่จะใช้งาน, มี Vector Database บน Postgres, มากับ Catalog Wizards รวมถึงความสามารถของการทำ GPU Monitoring ร่วมกับ VCF โดยที่ยังคงประสิทธิภาพ (Performance) ที่เทียบเท่ากับการทำงานอยู่ยน Bare-Metal อีกด้วย

บทสรุป

VMware by Broadcom ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม VMware Cloud Foundation (VCF) มาในรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง 5.2 ด้วยการเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ ด้านอินฟราสตรัคเจอร์มาอย่างครบถ้วน ทั้งเรื่องของการทำคอมพิวติ้ง, การบริหารจัดการเครือข่าย, การทำงานด้านสตอเรจ, การพัฒนาแอปพลิเคชั่นสมัยใหม่ ตลอดจนการบริหารจัดการแบบไฮบริดคลาวด์ การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ช่วยให้องค์กรได้ใช้งานคุณสมบัติที่ครบถ้วนตอบโจทย์การทำงานได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการลงทุนกับอินฟราสตรัคเจอร์ที่ช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้แก่องค์กรได้ดีกว่าอีกด้วย

สนใจข้อมูลผลิตภัณฑ์ VMware by Broadcom เพิ่มเติม ติดต่อ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด
เบอร์โทรศัพท์ : 02 353 8600 ต่อ 3210 หรือ 8432
E-mail: yipmkt@yipintsoi.com