บริษัท Trend Micro ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Trend Micro Deep Security 10 ที่มีฟีเจอร์ความปลอดภัย XGen ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคนิคการป้องกันอันตรายหลายๆ ชนิด เข้ากับระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายต่างๆ อย่างอัจฉริยะ เพื่อสนับสนุนการทำงานของโซลูชั่นความปลอดภัยของ Trend Micro ทุกตัว
โดย Deep Security รุ่นล่าสุดนี้ได้ก้าวนำหน้าคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสามารถในการปกป้องเซิร์ฟเวอร์ทั้งแบบฟิสิคอล, เวอร์ช่วล, และบนคลาวด์ที่ ครอบคลุมผู้ให้บริการชั้นนำอย่าง VMware, Amazon Web Services (AWS), และ Microsoft Azure เป็นต้น ที่มีการเพิ่มเทคนิคความปลอดภัยใหม่ๆ จำนวนมาก มาปรับแต่งการทำงานร่วมกันให้ได้ประสิทธิภาพและการตอบสนองที่ดีที่สุดในการป้องกันอันตรายใหม่ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
การหันมาใช้เทคโนโลยีเวอร์ช่วลไลเซชั่นและคลาวด์คอมพิวติ้งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ล้วนผลักดันให้องค์กรต่างๆ ต้องเปลี่ยนวิธีการรักษาความปลอดภัยของตนเอง โดยทิ้งวิธีการดั้งเดิมแล้วเปิดใจรับโซลูชั่นสมัยใหม่ เราเชื่อในคำแนะนำจากบริษัทนักวิเคราะห์ชั้นนำอย่าง Gartner ที่พูดถึงการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ว่า “อย่าคิดว่าโซลูชั่นแพลตฟอร์มที่ปกป้องเอนด์พอยต์สำหรับผู้ใช้นั้นจะสามารถปกป้องโหลดการทำงานบนเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ได้ด้วย เนื่องจากการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ล้วนมีความหลากหลายที่แตกต่างกันอย่างมาก”
ซึ่งในรายงาน Gartner Magic Quadrant for Endpoint Protection Platforms ฉบับล่าสุดนั้น Trend Micro ได้รับยกย่องให้เป็นผู้นำที่สูงที่สุด และมาไกลที่สุด ในด้านความสามารถการตอบสนองต่อความต้องการด้านวิสัยทัศน์ขององค์กร2 โดย Deep Security ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ Trend Micro ที่ได้รับการประเมินในรายงาน Magic Quadrant for Endpoint Protection Platforms2 นี้ด้วย
“ความต้องการทางธุรกิจ ที่ต้องการการบริการแอพพลิเคชั่นที่เร็วกว่าโดยใช้คลาวด์ โดยที่ไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านไอทีนั้น หมายความว่า คุณต้องมองกลไกด้านความปลอดภัยใหม่” เจสัน คราดิต ผู้อำนวยการอาวุโสด้านเทคโนโลยีสำหรับโซลูชั่น TRC กล่าว “Deep Security ถือว่าลงตัวกับโมเดล DevSecOps เป็นอย่างมาก ด้วยการให้ความสามารถการมองเห็นที่ครอบคลุมทุกโหลดงานบนคลาวด์ และจัดสรรทรัพยากรให้กับฟีเจอร์ความปลอดภัยที่หลากหลายได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งทำให้เรามุ่งมั่นพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ อย่างง่ายและรวดเร็วโดยใช้ทีมงานขนาดเล็กและคล่องตัวได้”
เทคนิคการปกป้องที่หลากหลายและครอบคลุม
Deep Security ได้รวมเอาส่วนผสมของเทคนิคป้องกันอันตรายที่มาจากหลายยุคสมัย การทำงานอย่างผสมผสานเพื่อปกป้องเซิร์ฟเวอร์จากอันตรายต่างๆ ซึ่งรวมถึงแอนติมัลแวร์ และระบบป้องกันการบุกรุก (IPS) ที่คอยตรวจจับและหยุดยั้งการโจมตีที่ซับซ้อนได้ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความปลอดภัยแบบ XGen นั้น ทำให้ Deep Security 10 มีเทคนิคความปลอดภัยใหม่ๆ หลายรูปแบบ ซึ่งรวมทั้งการป้องกันการเปลี่ยนแปลงบนซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตด้วยฟีเจอร์ Application Control ซึ่งบนการทำงานแบบไฮบริดจ์คลาวด์นั้น ฟีเจอร์ Application Control ใหม่นี้สามารถปกป้องเซิร์ฟเวอร์จากการโจมตีที่ซับซ้อนมากอย่างแรนซั่มแวร์ได้ด้วย แม้ว่าแอพพลิเคชั่นที่ใช้งาน หรือปริมาณโหลดงานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั่วทั้งสภาพแวดล้อมการทำงานแบบเวอร์ช่วลและบนคลาวด์
ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับความสามารถการตรวจจับอันตรายที่ไม่รู้จัก Deep Security 10 จึงรองรับทั้งการทำแซนด์บ็อกซ์ และฟีเจอร์ชั้นสูงใหม่ๆ ในอนาคตอย่างการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือ Machine Learning รวมถึงเทคนิคป้องกันอันตรายอื่นๆ ที่ Trend Micro กำลังพัฒนาขึ้นอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
พัฒนาเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาร่วมจัดการความปลอดภัยบนไฮบริดจ์คลาวด์อย่างต่อเนื่อง
Deep Security นั้นออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการทำงานบนทั้ง VMware, AWS และ Microsoft Azure ให้มีวิสัยทัศน์ต่อทั้งระบบอย่างเต็มที่ ทำให้ค้นหาและปกป้องเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ได้อย่างอัตโนมัติ Deep Security รุ่นใหม่นี้ได้เพิ่มการผสานการทำงาน และการจัดการต่างๆ มากมาย รวมถึง การลดเวลาในการเชื่อมต่อและลดเวลาที่ใช้ในการเพิ่มการให้ปกป้องกัน โหลดงานบน AWS และ Azure ที่เร็วขึ้น ร่วมกับการรองรับรูปแบบบัญชีผู้ใช้ของ Azure แบบใหม่ล่าสุดอย่าง Azure Resource Manager v2 (ARM) นอกจากนี้ยังมีการขยายความครอบคลุมมากกว่าโหลดงานบนเซิร์ฟเวอร์ธรรมดา ที่ปกป้องไปถึงคอนเทนเนอร์ Docker ด้วยการใช้เทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ว่าให้ผลดีอย่างแอนติมัลแวร์, IPS, และ Application Control ที่ปกป้องระบบแบบคอนเทนเนอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
“ปัจจุบัน การผสานการใช้เทคนิคที่หลากหลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการต่อกรกับอันตราย แต่บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวนำระบบความปลอดภัยใหม่ๆ มาใช้ให้ทันกับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และระบบความปลอดภัยก็ต้องรองรับความคล่องตัว และความยืดหยุ่นของสถาปัตยกรรมปัจจุบันที่รวมถึงเวอร์ช่วลไลเซชั่นและคลาวด์ด้วย” ดันแคน บราวน์ ผู้ช่วยรองประธานด้านแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยของ IDC กล่าว “ด้วยการเปิดตัว Deep Security 10 ทำให้ Trend Micro สามารถผสานเทคนิคด้านความปลอดภัยที่มีการพัฒนาออกมามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับปกป้องโหลดงานต่างๆ บนไฮบริดจ์คลาวด์ ร่วมกับความสามารถในวิสัยทัศน์ของระบบ จนกลายเป็นโซลูชั่นความปลอดภัยสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบันได้”
“นอกจากการเข้าถึงและช่วยเหลือลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่าง การรองรับการใช้คอนเทนเนอร์ Docker แล้ว Deep Security 10 ยังได้ตอบสนองความต้องการในการซื้อระบบความปลอดภัยที่แตกต่างหลากหลายกันออกไปด้วย” บิล แมคกี รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปด้านความปลอดภัยบนไฮบริดจ์คลาวด์ของ Trend Micro กล่าว “Deep Security มีทั้งในรูปของซอฟต์แวร์ปกติ, บริการผ่านคลาวด์แบบ as-a-service, ไปจนถึงการจำหน่ายเป็นแอพผ่านสโตร์ของ AWS และ Azure ทำให้องค์กรต่างๆ เลือกลงทุนได้ยืดหยุ่นอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งรวมถึงราคาต่อชั่วโมงการใช้งานที่เข้ากันได้ดีกับการทำงานบนคลาวด์”
“ลูกค้ารายสำคัญอย่างกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ และ NASA กำลังนำเทคโนโลยีเวอร์ช่วลไลเซชั่นและคลาวด์มาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น” ทาริค อัลฟี ผู้ก่อตั้งและประธานของ XentIT กล่าว “Deep Security ให้การรองรับสภาพแวดล้อม และความต้องการที่หลากหลาย ที่เราจำเป็นต้องตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจอย่างรวดเร็วอันรวมไปถึงการปกป้องโหลดงานบนทั้งระบบฟิสิคอล, เวอร์ช่วล, และบนคลาวด์”
Deep Security 10 จะพร้อมให้บริการในช่วงเดือนมีนาคม 2560 นี้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Deep Security และระบบความปลอดภัยบนไฮบริดจ์คลาวด์ สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.trendmicro.com/hybridcloud