เมื่อเร็วๆ นี้ ทางบริษัท NTT Data ได้จัดสัมมนาสุดยิ่งใหญ่ เป็นการรวบรวมเทคโนโลยีที่สำคัญระดับโลกทั้งจากของ NTT Data เอง รวมถึงพันธมิตรไอทีต่างๆ มาเพื่อจัดแสดงให้กับผู้สนใจได้รับทราบกัน และครั้งนี้ทาง Enterprise ITPro ได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน พร้อมทั้งได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ คุณสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ CEO ของทาง NTT Data
อยากทราบว่างานนี้ชื่อว่าอะไร?
คุณสุทัศน์ : งานครั้งนี้เป็นงานที่ชื่อว่า “NTT DATA Ignite 2024” โดยปกติแล้วกลุ่ม NTT จัดงานใหญ่ๆ ประจำปี มาก็หลายปีอยู่แล้ว แต่ปีนี้ก็เป็นปีที่มีการแบรนดิ้งชื่อใหม่ เป็น NTT Data แล้วก็เลือกใช้ คำว่า Ignite เป็นครั้งแรก ซึ่งในต่อๆ ไปก็จะเป็น Ignite 2025 – 2026 ในอนาคต รวมถึงสโลแกนคำว่า Ignite Tomorrow, Today เหมือนกับว่าเรามองเห็นอนาคตโดยเริ่มจากการจุดประกายวันนี้ให้ลูกค้า งานนี้เป็นการได้รับความร่วมมือทั้งจาก NTT Group เอง ที่เอาทั้งบริษัทในกลุ่ม NTT Data แล้วก็เทคโนโลยีที่เรามี Showcase ต่างๆ เข้ามาโชว์ แล้วก็มีเทคโนโลยีของพันธมิตรของเรากว่า 30 บริษัทได้มาร่วมมือกัน
จริงๆ แล้วมีงานแบบนี้ตั้งแต่ก่อนจะเป็น Ignite 2024 ?
คุณสุทัศน์ : ใช่ครับ ก่อนหน้านี้จะเป็น NTT Elevate เป็น NTT อันเดียว แต่ NTT Data เราจะรวม NTT Data, NTT Data Business Solution รวมกัน และกำลังจะรวมกันเป็นบริษัทใหม่ เป็น NTT DATA Inc ก็เลยถือโอกาส เป็นการเปิดตัวบริษัทใหม่ แล้วก็เป็นงานประจำปีของเราด้วย
ภาพรวมและจุดประสงค์ของงาน?
คุณสุทัศน์ : แน่นอนว่า เราถือว่าเราเป็น ผู้นำในด้านเทคโนโลยี ในด้านการให้บริการ IT Service แน่นอนตัวงานเราจัดเพื่อสร้างองค์กรความรู้ เอาเทคโนโลยีมาให้องค์กร ให้ผู้ใช้ไอทีในประเทศไทยได้เห็น ว่ามีเทคโนโลยีอะไรบ้างที่เป็นแนวโน้มของโลก แนวโน้มที่จะเอามาขับเคลื่อนธุรกิจ แล้วก็ Showcase ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระดับโลก และในประเทศไทย และการทำงานร่วมกับพันธมิตรไอทีต่างๆ ที่จะเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาให้บริการจริงในประเทศไทย เราถือว่าเป็นวาระของเราเหมือนกัน สิ่งนี้ก็เป็นจุดประสงค์แรกของเรา
จุดประสงค์อันที่สองจะเป็นเรื่องของสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของกลุ่ม NTT เอง ที่ปีนี้เราจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ทั้งหมดของเราในองค์กร NTT Group นอกญี่ปุ่น โดยเราจะรวมกันเรียกว่า NTT Data สำหรับงานนี้ก็ถือ เป็นงานที่เป็นทางการครั้งแรกที่เราเปิดตัวภาพลักษณ์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่และเต็มรูปแบบ
ไฮไลท์ของงานครั้งนี้ ที่ที่น่าสนใจ?
คุณสุทัศน์ : ไฮไลท์เราก็จะนิยามเทคโนโลยีที่คิดว่าเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญ และเกิดขึ้นจริง แล้วก็จะมาช่วยธุรกิจที่เอาไปใช้ แล้วก็ Transform 4 อย่างเรียกว่า Mega Trends ของเทคโนโลยี ทั้งหมดจะเป็น 4 เรื่องที่ไม่ใช่ว่าจะทำแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่มันต้องไปด้วยกัน จะเป็นเรื่องที่ผูกกันไป
เทคโนโลยี Cloud
อันแรกจะเป็นเรื่อง Cloud เป็นการขับเคลื่อน IT ที่เปลี่ยน Transform เลยจากที่การซื้อใช้ทั่วไปกลายเป็นแบบ เป็น Consumption based แทน โดยจะเป็นแบบที่เรียกว่า “Consumption as a service” ตั้งแต่ Infrastructure, Application, Software ฯลฯ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนรูปแบบไปอยู่ที่ Cloud มากขึ้น โดยที่ Cloud เองก็สามารถขยายได้มหาศาล การลงทุนก็จะยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับ Cloud เองนั้นก็เข้ามาในเมืองไทยได้ระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ผู้ใช้งานใช้แค่บางส่วนแต่ปัจจุบันกลายมาเป็นใช้ทั้งระดับโครงสร้างไอทีของพวกเขาเลย ดังนั้น Cloud ก็เป็นเทคโนโลยีตัวแรกที่เรามอง
เทคโนโลยี Cyber Security
เทคโนโลยีที่สองจะเป็นเรื่องของ Cyber Security โดยในช่วงที่ผ่านมา มีการทำงานในลักษณะที่เป็นดิจิทับมากขึ้น และมีการทำงานแบบระยะไกลมากขึ้น หรือใช้งานบน Cloud มากขึ้น รวมถึงการทำ Mobile Online ก็มากขึ้นส่งผลให้พื้นที่การทำงานมันกว้างขึ้นเยอะ ข้อมูลต่างๆ ไปอยู่ที่ Cloud, Device, หรือที่สาขาต่างๆ หรือแม้กระทั่งในงานอุตสาหกรรม ตัวอย่างโรงงานต่างๆ ก็นำเอา IoT เข้าไปใช้ ดังนั้นความปลอดภัยมันเป็นอะไรที่ต้องมาลงทุนต้องจัดการให้ดี ขณะเดียวกันภาครัฐ หรือกฎหมาย หรือว่าการทำธุรกิจกับคู่ค้าในโลกก็เริ่มมีเรื่องของ regulation compliance เข้ามาเยอะพอสมควร เพราะฉะนั้น Cyber Security, safety risk เป็นเรื่องสำคัญเรื่องที่สองที่เราพิจารณา
เทคโนโลยี Artificial intelligence (AI)
เรื่องที่สามที่สำคัญก็คือ AI ทุกวันนี้โลกก็ขยับมาพอสมควร เรามองเห็นเทคโนโลยีจากในอดีตสู่อนาคน เช่นเดิมจาก PC ไป Internet ไป Mobile ไป Cloud และกำลังเคลื่อนไปสู่ AI ในปัจจุบัน ต้องบอกว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มาทำให้คนเราเก่งขึ้น มีความอัจฉริยะในการทำงานขึ้น ทำให้กระบวนการทำงานไม่ว่าการขาย, การให้บริการ, การเงิน, การจัดการเรื่องบุคคล ก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น ว่ากันง่ายๆ ก็คือ AI ทำงานแทนคนในหลายๆ งานได้ และด้วย Generate AI ที่เกิดการพัฒนามากขึ้น ทำให้ การเชื่อมโยงระหว่างคน กับ Robot หรือ machine learning มันก้าวกระโดด ตอนนี้เราสามารถถามคำถามไปกับคอมพิวเตอร์ได้ เราอยากได้ข้อมูลอะไรก็ตามก็ถามไป จากนั้นระบบก็เรียบเรียงมาให้เรา หรือวาดรูปให้เรา หรือว่าวิเคราะห์ให้เรา ฯลฯ ซึ่งผมมองว่า AI คือเทคโนโลยีสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม
เทคโนโลยีที่จะรองรับ Sustainability
หัวข้อที่ 4 จะเป็นเรื่อง Sustainability ที่เรามองว่าเป็นพันธสัญญาระดับโลก เราเห็นแล้วสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เกิดภาวะโลกร้อน หรือฝุ่นที่อยู่กับเราทุกปี สิ่งแวดล้อมมันแย่มาก กระทบทั้งการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องมีส่วนช่วยกัน ที่ต้องทำตั้งตั้งแต่ ระดับโลก, ระดับองค์กร, ระดับพนักงาน จริงๆ แล้วเทคโนโลยีไอที มาช่วยลดสิ่งเหล่านี้ได้มาก เช่น ลดการเดินทาง ด้วยการใช้ ระบบการทำงานจากระยะไกลได้ ทำให้ไม่ต้องเดินทาง กระดาษไม่ต้องมีก็ใช้ระบบดิจิทัลแทน ก็ลดขยะไปได้มาก เป็นต้น อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีเองก็เป็นตัวบริโภคพลังงานสูงมากควบคู่ไปด้วย ตัวอย่างเช่น Data center ก็ใช้ไฟมากมายหลายเมกะวัตต์ หรือแม้กระทั่ง Cloud และ AI นี่ยิ่งไปกันใหญ่เลย บริโภคพลังงานสูงมากๆ รวมถึงอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ ก็ด้วย ซึ่งก็ใช้พลังงานมากขึ้น สร้างความร้อนมากขึ้น เป็นต้น เพราะฉะนั้น Sustainability ก็เป็นหัวข้อหลักที่เราจะนำมาพูดว่า เราจะทำยังไงที่จะมาแกไขปัญหาตรงนี้ให้ดีที่สุด
ปีที่ผ่านมา NTT เป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงก้าวต่อไปจะเป็นอย่างไร?
คุณสุทัศน์ : ธุรกิจในปีที่ผ่านมา เราค่อนข้างเปลี่ยนไปพอสมควร จากการเป็นผู้ให้บริการไอทีแบบเดิมๆ ไปสู่การเป็นผู้ให้บริการในลักษณะเป็นทั้ง Cloud Provider, Security Provider, Business Application Provider ทั้งหมดที่เราทำนี้ ทำให้เราช่วยลูกค้าตั้งแต่ การออกแบบติดตั้ง แล้วก็การใช้งาน อีกทั้งเราก็ขยับขึ้นไปสู่การทำ IT Manage Service โดยที่เราจะช่วยลูกค้าในการดำเนินงานแล้วก็บริหารจัดการโครงสร้างด้านไอทีให้พวกเขาเลย เพราะว่าในปัจจุบัน เราต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีมีความยากและซับซ้อนมากขึ้น และมันต้องผสานกันทั้งหมด องค์ความรู้เรื่องเดียวไม่เพียงพอ ต้องรู้หลายๆ เรื่อง ในขณะที่พนักงานขององค์กรของลูกค้าก็ขาดแคลนส่งผลให้องค์กรทั้งหลายก็ทำงานไม่ได้เต็ประสิทธิภาพ NTT Data เองก็พยายามขับเคลื่อนเข้าไปในเรื่อง Manage Service เพื่อให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้นนั่นเอง
และในอนาคตนั้น เราก็จะมุ่งไปสู่การเป็นผู้ให้บริการด้าน Software Application มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการรวมกับกลุ่มบริษัท NTT Data ทั้งหมด จะช่วยให้เราเอาบริการที่เรามีมาตอบโจทย์ทางธุรกิจของลูกค้า ตัวอย่าง Application ที่เราไปทำกับลูกค้าก็ เช่น SAP เป็นตัวที่เราขยับเข้าไปทำเยอะมาก เรื่องของการให้บริการด้วย CRM Software แก่ลูกค้า เป็นต้น ซึ่งในวันนี้ก็จะเห็นว่าเรามีความครบวงจรมากขึ้น มีให้บริการตั้งแต่ระดับโครงสร้างหลักไปจนถึง Cloud ต่อเนื่องไปจนถึงการให้บริการด้าน Application ด้วยครับ
คาดหวังว่าจะเป็นอย่างไร?
คุณสุทัศน์ : ทาง Gartner ได้มีการสำรวจ แล้วพบว่า NTT Data Group นั้นมีขนาดการให้บริการในเมืองไทยถือเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งนี้เราก็พยายามจะเติบโตขึ้นไป โดยเฉพาะใน Segment ด้านใหม่ๆ ระยะยาวภายใน 3 ปี 5 ปี เราคงเพิ่ม Resource ในส่วนของ Software Application ให้ค่อนข้างมากขึ้นไปเรื่อง
เกี่ยวกับการควบรวมบริษัท ?
คุณสุทัศน์ : จริงๆ แล้วการรวมนั้นตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 ที่ผ่านมา เราเริ่มใช้แบรนด์ใหม่แล้ว ก็คือ NTT Data ภายใต้แบรนด์ใหม่ ก็จะมีบริษัทลูกของกลุ่ม NTT Group นอกญี่ปุ่นทั้งหมด ที่เป็น Global Company รวมกัน เอาบริษัทใหญ่ๆ ที่คนจดจำก็จะเป็น บริษัท NTT Limited, NTT Data และ NTT Data Business Solution 3 บริษัทนี้มา Grouping แล้วมาอยู่ภายใต้แบรนด์ “NTT Data Inc. คาดว่าวันที่ 1 เม.ย. 67 จะเป็นวันแรกที่เราเริ่มผสานบริษัท แล้วก็ใช้เวลาประมาณ 2 ปี นับจากนี้ก็จะครบถ้วน ปัจจุบันก็มีการแถลงการณ์ไปเรียบร้อยแล้วทั้งในระดับโลก และในเมืองไทย และเริ่มทยอยสื่อสารให้หลายๆ คนได้ทราบ