เดินหน้ายกระดับ Transparency Center ขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลก ในโครงการ Global Transparency Initiative หวังเป็นจุดแสดงความบริสุทธิใจในเรื่องผลิตภัณฑ์ของบริษัท คอมเฟิร์มที่ผ่านมาก็แค่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองระดับโลกเท่านั้น
Enterprise ITPro ได้ร่วมเดินทางร่วมงานแถลงข่าวในประเทศมาเลเซียเกี่ยวกับ Global Transparency Initiative โครงการที่ทาง Kaspersky มุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและไม่มีความเกี่ยวข้องในข้อกล่าวหาของรัฐบาลกลางสหรัฐและสหภาพยุโรป โดยที่ผ่านมา Kaspersky ได้ทำงานร่วมกับองค์กรระดับสากลต่างๆ ทั่วโลกในการจัดการกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ โดยหลังจากนี้จะมีการเดินหน้าทำความเข้าใจกับหน่วยงานของรัฐบาลต่างๆ ทั้งการเชิญชวนเข้ามาร่วมโครงการนี้และถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นจริงสู่สาธารณะ
Stephan Neumeier, Managing Director – APAC จาก Kaspersky Lab ขึ้นพูดในบ่ายวันที่คืนก่อนหน้านั้น เยอรมัน เพิ่งพ่ายให้กับ เกาหลีใต้ ตกรอบฟุตบอลโลก รัสเซีย 2018 แต่เขายังกล่าวอย่างมั่นใจว่าKaspersky มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการปกป้องผู้ใช้ทุกระดับ ตั้งแต่การใช้งานตามบ้านเรือนไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยทางบริษัทฯ ได้เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น Interpol, CERT จากทั่วโลก และหน่วยงานวิจัยต่างๆ เพื่อต่อกรกับภัยคุกคามไซเบอร์ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นขององค์กรทั่วโลกที่มีต่อ Kaspersky Lab ในขณะที่การแบนของสหรัฐฯ นั้นมาจากความขัดแย้งทางด้านการเมือง ไม่ใช่มีปัญหากับผลิตภัณฑ์
“การสั่งแบนซอฟต์แวร์ของ Kaspersky Lab โดยรัฐบาลของสหรัฐฯ เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยกล่าวหาว่าบริษัทฯ มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างลับๆ กับรัฐบาลของประเทศรัสเซีย ไม่ได้เกิดจากปัญหาที่ซอฟต์แวร์แต่อย่างใด ส่วนการประกาศของกลุ่มสหภาพยุโรปนั้นก็น่าจะเป็นไปในทำนองเดียวกันเพราะด้วยข้อมูลที่ปรากฏในสาธารณะนั้นมีความจริงเพียงบางส่วน แต่ทาง Kaspersky เองนั้นก็ได้ดำเนินการกับเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาตรฐานอย่างรอบครอบเสมอมา” Neumeier กล่าว
เราเริ่มแล้ว !! เพื่อพิสูจน์กับโลกในความโปร่งใส
Oleg Abdurashitov, Head of Public Affairs, APAC จาก Kaspersky Labพูดถึงแนวโน้มทางด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ว่า ปัจจุบันนี้ เนื่องด้วยปัญหาความขัดแย้งทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้รัฐบาลทั่วโลกกังวลเรื่องความโปร่งใสของผลิตภัณฑ์ที่ตนเองนำเข้ามาใช้งาน ว่ามีการแอบติดตั้งโปรแกรมในการดักข้อมูลหรือลอบส่งข้อมูลของรัฐบาลไปยังหน่วยงานลับอย่างผิดกฎหมายหรือไม่ ส่งผลให้ Kaspersky Lab ริเริ่มโครงการ Global Transparency Initiative ในเดือนตุลาคมปี 2017 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า เหล่าพันธมิตร และหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถเข้ามารีวิว Soucre Code ของผลิตภัณฑ์ได้ก่อนที่จะติดตั้งลงบนระบบเครือข่ายของตน
และจากปัญหานี้ Kaspersky จึงได้ตัดสินใจทำการย้ายData Center ในประเทศรัสเซีย ไปยัง Transparency Center แห่งใหม่ในเมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายในปี 2019 นี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลของผู้ใช้ในหลายๆ ประเทศ เช่น ยุโรป อเมริกาเหนือ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ สายการผลิตซอฟต์แวร์ที่ Kaspersky Lab ใช้สำหรับประกอบและจัดการผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตน รวมไปถึงฐานข้อมูลสำหรับตรวจจับภัยคุกคาม ที่สำคัญคือซอฟต์แวร์ทั้งหมดจะถูกเซ็นด้วย Digital Signature และมีการตรวจสอบและกำกับดูแลโดย 3rd Parties ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยไม่มีหน่วยงานของรัสเซียมาเกี่ยวข้อง
นอกจากนั้นเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทำงานและการตรวจสอบในอนาคต Kaspersky ยังวางแผนที่จะเปิด Transparency Center เพิ่มในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย เพื่อให้ทุกประเทศสามารถตรวจสอบความโปร่งใสของ Kaspersky Lab ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ทางด้าน Yeo Siang Tiong, General Manager – SEA จาก Kaspersky Labระบุว่า “หลังจากการสั่งแบนของรัฐบาลกลางสหรัฐยอดขายในสหรัฐฯ ลดลงก็จริง เนื่องจากหลายองค์กรดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนตลาดในยุโรปยังคงคงที่ แต่ยอดขายในภูมิภาคอื่นๆ เช่น ประเทศตุรกี หรือแอฟริกา ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดเอเชียเองก็โตขึ้นถึง 11% ในปีที่ผ่านมา โดยรวมแล้วยังกล่าวได้ว่า ยอดขายของ Kaspersky Lab ในตลาด B2B และ B2C ยังคงโตขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นคงประเทศอื่นๆ ทั่วโลก”
Stephan Neumeier เสริมถึงเรื่องยอดขายกับส่วนราชการของรัฐบาลสหรัฐไว้ว่า “ที่ผ่านมายอดขายกับหน่วยงานรัฐบาลในสหรัฐนั้นมีอยู่ในระดับเพียงไม่กี่หมื่นเหรียญสหรัฐ ทำให้เราไม่ได้วิตกอะไรไปมากนักแต่อย่างไรแล้วสิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันอย่างเช่น Global Transparency Initiative หรือการเปิดซอร์สโคดให้กับหน่วยงานรัฐบาลทั่วโลกได้ตรวจสอบนั้น ถือเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจให้แม้กระทั่งรัฐบาลของสหรัฐและอียูนั้น ได้ค้นพบความจริงว่าข้อกล่าวหาที่มีกับเรานั้นไม่ใช่ความจริง และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ Kaspersky จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ดีต่อไป เพื่อตอบสนองทั้งการใช้งานทางธุรกิจและผู้ใช้ทั่วไปให้ปลอดภัยอยู่เสมอ”