ด้วยจำนวนอุปกรณ์ IoT ที่ถูกนำมาใช้อย่างมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่ต่างมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ทำให้การเข้ามาของยุค IoT เพิ่มปริมาณช่องโหว่ทั่วโลกอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกใจเลยที่ IoT จะกลายเป็นตัวผลักดันวงการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ยุคใหม่
จากสถิติแล้ว กว่า 50% ของบริษัทผู้จำหน่ายอุปกรณ์ IoT ต่างเคยรายงานการพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ทั้งเรื่องการรั่วไหลของข้อมูล, การตกเป็นเครื่องมือในการโจมตีแบบ DoS, หรือแม้แต่การเข้าควบคุมเครื่องจักร ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกในการหาทางป้องกันความปลอดภัยแก่อุปกรณ์ IoT เหล่านี้อย่างรวดเร็ว
ยิ่งการผูกรวมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI แล้ว ถ้าโดนแฮ็ก ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจในวงกว้าง หรือแม้แต่ชีวิตของมนุษย์ได้ อุปกรณ์ IoT จึงจำเป็นต้องได้รับการยืนยันตัวตน, ตรวจสอบความถูกต้อง, และได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม
ท่ามกลางแรงผลักดันให้ใช้ระบบความปลอดภัยอย่างเช่น การเข้ารหัสไฟล์ หรือแม้แต่การออกแพ็ตช์อัพเดตเป็นประจำแก่อุปกรณ์ IoT แต่อุปกรณ์จำพวกนี้มีลักษณะเฉพาะที่มีอายุแบตเตอรี่จำกัด ซึ่งต้องใช้ตัวประมวลผลที่กินไฟต่ำ และหน่วยความจำแฟลชขนาดเล็กตามไปด้วย จึงทำให้เราต้องปฏิวัติการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ใหม่ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี AI มาจัดการกับอุปกรณ์ AI เหล่านี้ด้วยเช่นกัน เช่น เทคโนโลยี Deep Learning เป็นต้น
โมเดลการรักษาความปลอดภัยปัจจุบันที่รวมศูนย์กลางจัดการไว้หนึ่งเดียวนั้น ต้องการโครงสร้างพื้นฐานและค่าใช้จ่ายในการดูแลสูง ไม่ว่าจะรวมศูนย์ไว้บนคลาวด์, เซิร์ฟเวอร์ฟาร์ม, หรืออุปกรณ์เครือข่ายเฉพาะด้าน ซึ่งการสื่อสารจากอุปกรณ์ IoT นับล้านเครื่องย่อมทำให้เกิดคอขวดและทำให้เครือข่ายทั้งระบบล่มได้ง่าย จึงมีการนำเทคโนโลยีที่กระจายการประมวลผลอย่าง Blockchain ที่ฮิตในวงการเงินคริปโตมาใช้กับโซลูชั่นความปลอดภัยด้วย
นอกจากนี้ในด้านของมาตรฐานและกฎหมายนั้น เราทราบดีว่ากฎหมายไม่เคยไล่ตามทันเทคโนโลยีไอทีทัน ดังนั้น การปฏิบัติตามมาตรฐานได้ไม่ได้หมายความว่าคุณปลอดภัยดีแล้ว ระบบป้องกันทางไซเบอร์จำเป็นต้องจัดการในเชิงรุก เช่น มีการนำเทคโนโลยีการประมวลผลแบบควอนตัมมาเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลของระบบความปลอดภัยเพื่อรองรับอุปกรณ์ IoT จำนวนมาก เป็นต้น
ที่มา : Govtech
