สัปดาห์หน้าก็จะเป็นช่วงหยุดยาว หลายคนวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้พักผ่อนอยู่กับบ้านหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการนั่งเครียดในออฟฟิศเพื่อคอยดูแลเน็ตเวิร์กให้ยังทำงานได้อย่างปกติอย่างต่อเนื่อง เวลาพักผ่อนเช่นนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีมากในการนั่งนอนชิลๆ ดูหนังอยู่ที่บ้านกัน
ขณะที่พวกเราบางส่วนอาจเลือกที่จะผ่อนคลายกับหนังคลาสสิกอย่างเช่น Wonderful Life หรือ White Christmas แต่ก็มีบางคนเลือกที่จะดูภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในฐานะที่ตนเองเป็นผู้คร่ำหวอดและ “หลงใหลในเทคโนโลยีใหม่” มากกว่า ซึ่งในอดีตนั้นมีหนังอยู่หลายเรื่องที่สะท้อนความฝันในการใช้เทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตได้อย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็น A Space Odyssey ที่ฉายตั้งแต่ปี 1968 หรือ The Matrix ในปี 1999 แต่ในเมื่อเราอยู่ในยุค 2020 นี้แล้ว ทาง Fluke จึงได้รวบรวมหนังด้านไอทีระดับสุดยอด 5 เรื่องที่ฉายในทศวรรษที่ผ่านมาที่ควรค่าแก่การดื่มด่ำในช่วงวันหยุดยาวดังต่อไปนี้
The Hummingbird Project
ได้แนวคิดมาจากการลากสายไฟเบอร์ระยะทางกว่า 827 ไมล์ของบริษัท Spread Networks ที่ลากจากตลาดหลักทรัพย์ CME หรือ Chicago Mercantile Exchange ไปยังดาต้าเซ็นเตอร์ของ NASDAQ ในเมือง Carteret รัฐนิวเจอร์ซีย์ ที่เกิดขึ้นเพื่อเร่งความเร็วในการรับส่งข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ให้เหลือเพียงแค่ไม่กี่วินาที จึงทำให้หนังเรื่อง The Hummingbird Project กลายเป็นเรื่องที่เราแนะนำให้ดูมากที่สุดในยุคนี้ในแง่ของหนังไอทีสำหรับผู้ที่คร่ำหวอดด้านสายใยแก้วนำแสงโดยเฉพาะ ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้แต่งเรื่องใหม่เป็นการลากสายไฟเบอร์ที่ไกลกว่า 1,000 ไมล์จากเมืองคันซัสไปยังนิวเจอร์ซีย์ด้วยเป้าหมายที่จะลดดีเลย์ให้เหลือแค่ 15 มิลลิวินาที ที่เทียบได้กับเวลาที่นกฮัมมิ่งเบิร์ดกระพือปีกหนึ่งครั้ง (เป็นที่มาของชื่อเรื่องด้วย)
แต่ก็เหมือนกับหนังไซไฟส่วนใหญ่ที่มักไม่ได้มีความถูกต้องตามหลักความเป็นจริง 100% โดยเฉพาะเรื่องของการลากสายไฟเบอร์ตรงๆ ยาวจากเมืองคันซัสถึงนิวยอร์กที่ไม่มีจริง และถึงจะทำได้ ผู้เชี่ยวชาญก็ระบุว่าจะทำความเร็วได้อยู่ที่ 45 มิลลิวินาทีแม้จะใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดก็ตาม และถึงแม้หนังเรื่องนี้จะค่อนข้างเน้นข้อมูลรายละเอียดเยอะไปบ้างในช่วงแรก และอาจเริ่มน่าเบื่อหน่อยในครึ่งหลัง แต่ก็ถือว่าเป็นหนังเกี่ยวกับสายไฟเบอร์ความเร็วสูงที่ดีมากเรื่องหนึ่งในตลาด
สิ่งที่เราประทับใจในหนังเรื่อง The Hummingbird Project เป็นอย่างมากก็คือ มีการนำโซลูชั่นสายไฟเบอร์ของ Belden มาใช้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อย่าง FiberExpress Fusion ที่เราเห็นได้ชัดจากคลิปตัวอย่างหนังบนยูทูปด้วย ทั้งนี้ทาง Belden ได้เขียนบล็อกเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทั้งด้านการตรวจสอบความถูกต้องของสคริปต์ และให้ความรู้แก่ผู้กำกับและทีมงานด้วย น่าเสียดายที่ตัวละครในภาพยนตร์ไม่ได้นำอุปกรณ์อย่าง OptiFiber® Pro ออกมาใช้ให้เห็นด้วย!
Ex Machina
แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูน่าตื่นเต้นชวนติดตามมากกว่าเรื่อง The Hummingbird Project (และดูเพ้อฝันมากกว่าด้วย) แต่ก็ควรระวังเวลาดูหนังเรื่องนี้ร่วมกับเด็กๆ ด้วยภาพของการเป็นหนังคอมพิวเตอร์ไซไฟที่แฝงด้วยจิตวิทยาและความสยองขวัญ เรื่อง Ex Machina เริ่มต้นด้วยโปรแกรมเมอร์หนุ่มที่ได้โอกาสเข้าพบซีอีโอของบริษัทระดับเดียวกับกูเกิ้ล จนตกอยู่ในความสัมพันธ์ชู้สาวที่ต่อมาอันตรายถึงชีวิตกับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ที่ทำงานผ่าน AI ซึ่งจากข่าวของการพัฒนาเทคโนโลยี AI จำนวนมากในปัจจุบันย่อมทำให้หนังเรื่องนี้กระตุ้นต่อมความตื่นเต้นด้านเทคโนโลยีของคุณได้เป็นอย่างดี
The Imitation Game
ถึงจะไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เราเห็นในปัจจุบัน แต่หนังประวัติศาสตร์ย้อนยุคนี้กล่าวถึงเรื่องจริงของ Alan Turing ในภารกิจสุดตื่นเต้นของการสร้างเครื่องที่สามารถล้ม Enigma ของเยอรมัน ที่เป็นอุปกรณ์เข้ารหัสที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายโดยกองทัพนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย Turing ได้รับการยกย่องว่าเป็นบรรพบุรุษของเทคโนโลยี AI และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ที่ทำให้พวกเราตระหนักมาก่อนหน้านี้แล้วว่าเครื่องจักรทั้งหลายสามารถทำงานได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ เราก็แนะนำ The Imitation Game ในฐานะที่มีเนื้อเรื่องที่ดีมาก แสดงได้สมบทบาท คุ้มค่ากับเวลากว่า 114 นาทีในช่วงวันหยุดของคุณอย่างแน่นอน
Her
ภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของมนุษย์กับเทคโนโลยี โดยเรื่อง Her นี้ค่อนข้างเยียวยาจิตใจมากกว่าเรื่อง Ex Machina ด้วยมุมมองที่ค่อนข้างไร้เดียงสา จนไปถึงชวนหัวเราะในบางครั้ง ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยการแสดงที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ เนื้อเรื่องย้อนไปถึงคนรับจ้างเขียนบัตรอวยพรชื่อ Theodore (แสดงโดย Joaquin Phoenix) ที่ตกหลุมรักระบบป)บัติการใหม่ของเขา (ให้เสียงพากย์โดย Scarlett Johansson) ซึ่งถ้าคุณเป็นคนอ่อนไหวแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง Theodore กับระบบปฏิบัติการในหนังเรื่องนี้อาจทำให้คุณน้ำตาซึมได้ แต่ก็ไม่ได้เศร้ามากเทียบเท่ากับตอนที่พวกเราได้พบกับระบบปฏิบัติการในตำนานอย่าง Windows Vista ในปี 2007
The Social Network
ถ้ายังไม่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์รางวัลออสก้าที่นำเสนอเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเฟซบุ๊กแล้ว ช่วงหยุดยาวครั้งต่อไปก็อาจเป็นโอกาสที่ดีของคุณ ถึงแม้เจ้าของอย่าง Zuckerberg และผู้เกี่ยวข้องอื่นออกมาบอกว่าข้อมูลในหนัง The Social Network นี้ไม่ได้ตรงตามความจริง แต่ก็สื่อเรื่องของความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปัจจุบันได้อย่างตรงประเด็น โดยเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องที่ Zuckerberg เองต้องไปนั่งต่อหน้าคณะกรรมการพาณิชย์และยุติธรรมให้หลังจากการเปิดตัวหนังเรื่องดังกล่าวเพียงแค่ 8 ปี ในข้อหาที่แอบแบ่งปันข้อมูลในเฟซบุ๊กโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัว แต่ระวังว่าหลังจากดูจบแล้วคุณอาจระแวงจนคิดจะลบบัญชีไปเลย หรือแม้แต่ทะเลาะกับญาติผู้ใหญ่ที่เพิ่งคิดอยากจะเข้ามาใช้เฟซบุ๊กเพื่อเชื่อมต่อกับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวโดยเฉพาะคุณ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม Fluke Networks ได้ที่นี่