ทีมงานด้านเน็ตเวิร์ก หรือผู้ที่ได้รับการว่าจ้างสำหรับดูแลระบบโครงสร้างสายเคเบิล ไม่ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาล, ธนาคาร, ดาต้าเซ็นเตอร์, ในสำนักงาน, หรือแม้แต่จะเป็นผู้วางระบบในหน้างานเหล่านี้ก็ตาม ล้วนถูกคาดหวังให้ทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของการทดสอบสายเคเบิลในแต่ละแบบ เพื่อให้สามารถเลือกอุปกรณ์ทดสอบที่นำมาใช้งานได้ตรงตามความต้องการ
เครื่องทดสอบสายเคเบิลนั้นได้รับการออกแบบมาให้มีฟีเจอร์หลากหลายกลุ่มที่เหมาะกับงานเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน โดยเมื่อพิจารณาจากลักษณะการนำเครื่องมือทดสอบไปใช้แล้ว จะสามารถแบ่งประเภทการทดสอบเป็น 3 แบบกว้างๆ อันได้แก่: การตรวจเทียบมาตรฐาน (Certification), การตรวจสอบคุณภาพ (Qualification), และการตรวจความถูกต้อง (Verification)
เมื่อไรที่คุณต้องการเครื่องตรวจความถูกต้อง?
เครื่องทดสอบแบบตรวจความถูกต้องนั้นนิยมนำมาใช้โดยช่างเทคนิคที่ลากและเข้าหัวสายเคเบิล หรือจัดการเคลื่อนย้าย เพิ่มเติม และเปลี่ยนแปลงสายเคเบิลแบบพื้นฐาน ซึ่งเครื่องมือนี้ถือเป็นด่านแรกในการระบุปัญหาทั้งด้านการเชื่อมต่อและการเข้าคู่สาย
อุปกรณ์ประเภทนี้เน้นใช้ตรวจความต่อเนื่องของลิงค์พื้นฐาน อย่างการแสดง Wiremap และทำ Toning ด้วยความสามารถด้าน Time Domain Reflectometer (TDR) ที่ทรงพลังทำให้ระบุความยาวของลิงค์สายเคเบิล หรือระยะที่ไปถึงตำแหน่งที่สายขาดหรือลัดวงจรบนลิงค์ที่ทดสอบอยู่ได้ อุปกรณ์ตรวจสอบความถูกต้องนี้ยังมักใช้ในการตรวจจับและรายงานออกมาว่าสายเคเบิลที่ทดสอบนั้นเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่เปิดทำงานอยู่อย่างฮับหรือสวิตช์หรือไม่ แต่สิ่งที่ต่างจากอุปกรณ์ระดับที่ใช้ตรวจคุณภาพหรือตรวจเทียบมาตรฐานก็คือ อุปกรณ์ประเภทที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องนี้ไม่ได้ออกรายงานผลในรูปเอกสารให้
อุปกรณ์อย่างเครื่อง Cable MicroScanner PoETM Verifier แสดงข้อมูลเชิงภาพเกี่ยวกับความยาว, แผนผังการโยงคู่สาย, วงจรที่เปิดหรือลัดวงจร, รวมทั้งระยะที่เกิดปัญหาบนสาย นอกจากนี้ยังตรวจจับประเภทคลาสกำลังไฟ (0-8) บนสวิตช์ทั้งแบบ PoE, PoE+, และ PoE++ (802.3at, af, และ bt) ได้ด้วย
เจาะลึกการตรวจเทียบมาตรฐาน
การตรวจเทียบมาตรฐานถือเป็นรูปแบบการทดสอบสายเคเบิลที่เข้มงวดมากที่สุด นิยมใช้กันในหมู่ผู้ให้บริการด้านดาต้าคอมเชิงพาณิชย์และเจ้าของโครงข่ายทั้งหลาย อุปกรณ์ตรวจเทียบมาตรฐานถือเป็นอุปกรณ์ประเภทเดียวที่ให้ข้อมูลออกมาว่า “ผ่าน” หรือ “ไม่ผ่าน” ที่อิงตามมาตรฐานทั้งของ TIA และ ISO
อุปกรณ์ทดสอบเทียบมาตรฐานนั้นมีการตรวจวัดหลายอย่างมากอิงตามช่วงความถี่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า พร้อมเปรียบเทียบผลการทดสอบกับมาตรฐานให้อย่างละเอียด ผลที่ได้จากการตรวจวัดจะระบุได้ว่าลิงค์ดังกล่าวสอดคล้องตามมาตรฐานสายเคเบิลในประเภท Category หรือ Class ใด (ตัวอย่างเช่น Cat 5e, 6, 6A, 8 หรือ Class E, E¬A, F, FA) การตรวจเทียบมาตรฐานนับเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จำเป็นสำหรับผู้ผลิตสายเคเบิลเพื่อให้การรับประกันสำหรับโปรเจ็กต์ที่มีการตรวจรับรองเป็นทางการ โดยอุปกรณ์ทดสอบแบบตรวจเทียบมาตรฐานนี้ให้ผลการวิเคราะห์เชิงภาพ พร้อมฟีเจอร์จัดการโปรเจ็กต์มากมาย ไปจนถึงความสามารถในการทำรายงานเป็นเอกสาร
เมื่อไรที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ตรวจเทียบมาตรฐาน?
ถ้าคุณเป็นผู้ติดตั้งที่ต้องการพิสูจน์ให้เจ้าของเครือข่ายเห็นว่าระบบสายเคเบิลทั้งหมดได้รับการวางระบบได้อย่างถูกต้อง ตรงตามสเปกลิงค์ของ TIA หรือ ISO แล้ว ก็จำเป็นต้องตรวจแบบเทียบมาตรฐาน หรือถ้าคุณเป็นเจ้าของเครือข่ายที่ต้องการตรวจสอบการติดตั้งจากหน่วยงานภายนอก ทางเลือกเดียวที่ทำได้ก็คือการใช้อุปกรณ์ตรวจเทียบมาตรฐานเช่นกัน กรณีถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแก้ไขปัญหาเครือข่าย และจำเป็นต้องแสดงให้เห็นชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าลิงค์ที่ทดสอบอยู่นั้นไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพของสาย Category 5e, 6, 6A, หรือ 8 อิงตามมาตรฐานอุตสาหกรรมแล้ว อุปกรณ์ตรวจเทียบมาตรฐานก็ถือเป็นทางออกสุดท้าย จึงถือว่าอุปกรณ์ตรวจเทียบมาตรฐานมีความสำคัญอย่างยิ่งกรณีที่มีการถกเถียงหรือข้อโต้แย้งกับผู้ให้บริการสายเคเบิลหรือผู้ติดตั้งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสายเคเบิลที่ติดตั้งไป
ไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ – https://www.flukenetworks.com/expertise/learn-about/cable-testing