การกระจายการประมวลผลไปอยู่บนอุปกรณ์ปลายทางหลายตัว หรือ Edge Computing ช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการใช้งาน IoT เป็นอย่างมาก ทั้งด้านการรวบรวมข้อมูล, ประมวลผล, และวิเคราะห์ข้อมูลได้ตั้งแต่ตัวอุปกรณ์ IoT เอง
แต่รู้หรือไม่ว่าระบบความปลอดภัยที่เคยใช้กับระบบที่อิงศูนย์กลางอย่างเซิร์ฟเวอร์-ไคลเอนต์ดั้งเดิมนั้น ไม่ได้เหมาะกับระบบแบบ Edge Computing นี้ด้วย
ทั้งนี้เพราะระบบที่รวมศูนย์การเก็บข้อมูลและประมวลผลไว้ตรงกลางไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์ในองค์กรหรือบนคลาวด์นั้น ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในที่เดียวหรือไม่กี่แห่ง ขณะที่ระบบ Edge Computing ข้อมูลถูกกระจายไปยังอุปกรณ์ปลายทางเกือบทุกเครื่อง จึงมีอุปสรรคในการปกป้องให้ครอบคลุมทั้งระบบมากกว่า
ประเด็นคือ การทำให้แน่ใจว่าเครื่องโฮสต์ทุกเครื่องได้รับการปกป้อง รวมทั้งอัพเดทแพ็ตช์อย่างทันท่วงทีตลอดเวลาโดยเน้นการตรวจจับอันตรายอย่างละเอียด ทั้งการถอดรหัสข้อมูลทราฟิกบนเครือข่าย, บันทึก Log, และใช้ระบบป้องกันที่สามารถตรวจตราได้แบบเรียลไทม์ รวมทั้งใช้การเชื่อมต่อแบบ SSL/TLS ร่วมกับการยืนยันตนแบบมัลติแฟกเตอร์ เป็นต้น
ขณะที่ข้อผิดพลาดที่มักเกิดบ่อยที่สุดสำหรับผู้ใช้ระบบ Edge Computing คือการนิ่งนอนใจว่าระบบความปลอดภัยเดิมก็สามารถปกป้องอุปกรณ์ของตนเองได้ครบถ้วน เพราะไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์หรือแอนติไวรัสธรรมดาที่จะรักษาความปลอดภัยได้เพียงพอ ต้องคิดเสมอว่าอุปกรณ์ใดก็ตามที่เชื่อมต่อได้ต้องมีระบบป้องกันเสมอ
ที่มา : Networkcomputing