Sophos ผู้นำระดับโลกด้านความปลอดภัยบนเอนด์พอยต์และเครือข่าย ได้แถลงว่า ตนเองกำลังอยู่ระหว่างการตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการ Invincea ซึ่งเป็นผู้ให้บริการปกป้องมัลแวร์แบบ Next-Gen โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยสำหรับเอนด์พอยต์ของ Invincea ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับและป้องกันทั้งมัลแวร์ที่ไม่รู้จัก และการโจมตีที่ซับซ้อน ผ่านอัลกอริทึมเครือข่ายรับสัญญาณแบบร่างแหที่ใช้กลไก Deep Learning ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นของตนเอง
ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีปกป้องเอนด์พอยต์แบบNext-Gen ที่ไม่ต้องใช้ข้อมูลซิกเนเจอร์ และใช้กลไก Machine Learning ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในวงการมาอย่างต่อเนื่องโดยผู้ทดสอบจากเธิร์ดปาร์ตี้ และได้รับคะแนนทดสอบสูงมากทั้งด้านการตรวจจับที่แม่นยำ และอัตราการตัดสินใจผิดพลาดที่น้อยมาก
Invincea มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแฟร์แฟ็กซ์ รัฐเวอร์จิเนีย ก่อตั้งโดยซีอีโอ Anup Ghosh ที่มุ่งมั่นกำจัดอันตรายแบบ Zero-day, อาชญากรไซเบอร์, และกลุ่มโจรออนไลน์ที่กำลังเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ด้วยผลิตภัณฑ์หลักอย่าง X by Invincea ที่มีการใช้เครือข่ายตรวจจับสัญญาณอย่างทั่วถึงทั้งระบบ ที่ใช้กลไก Deep Learning รวมถึงการตรวจจับพฤติกรรม เพื่อตรวจหามัลแวร์ที่ไม่รู้จักมาก่อน และหยุดยั้งการโจมตีก่อนที่จะเกิดความเสียหาย และจากการมุ่งทำตลาดในกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ, สถานพยาบาล, และธุรกิจบริการทางการเงิน ทำให้ Invincea ถูกนำไปติดตั้งบนเครือข่ายที่ถือว่าตกเป็นเป้าการโจมตีที่สำคัญที่สุดในโลก
“ด้วยการเพิ่ม Invincea เข้ามาในกลุ่มผลิตภีณฑ์ของเรา ทำให้ Sophos สามารถผลักดันวิสัยทัศน์ของตนเองที่จะผสานรวมเทคโนโลยีทรงพลังเข้าด้วยกัน เพื่อให้ระบบป้องกันที่ดีที่สุด และล้ำสมัยมากที่สุดแก่ลูกค้าของเรา” Kris Hagerman ซีอีโอของ Sophos กล่าว “Invincea เป็นระบบตรวจจับอันตรายที่ใช้กลไกMachine Learning ที่อยู่ระดับผู้นำในตลาด ด้วยอัตราการตรวจจับอันตรายอันเยี่ยมยอด และอัตราการวินิจฉัยผิดพลาดที่น้อยมาก Invincea จะยกระดับความแข็งแกร่งของโซลูชั่นปกป้องเอนด์พอยต์แบบNext-Gen ของ Sophos ด้วยการเสริมระบบป้องกันเชิงคาดการณ์ที่แม่นยำ ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการปกป้องเอนด์พอยต์ในอนาคต และทำให้เราได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในการเติบโตขึ้นอีกระดับ เราภูมิใจที่จะได้ต้อนรับทีมงานของ Invincea เข้ามาสู่อ้อมกอดของ Sophos และคาดหวังที่จะพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ จากเทคโนโลยีชั้นสูงนี้ ให้แก่ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของเราทั่วโลกต่อไป”