ปัจจุบันการแพร่ระบาดของดไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อทุก ๆ อุตสาหกรรม โดยส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกลดตัวลง และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นตามสถานการณ์การระบาดที่ยังควบคุมไม่ได้ ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และแนวทางในการดำเนินธุรกิจให้ก้าวสู่องค์กรในยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล (Data-Driven Organization) ที่สามารถการทำงาน โดยนำข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อยอดธุรกิจ และวางแผนธุรกิจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อนล ธเนศวรกุล กรรมการของบริษัท เมดไลน์ จำกัด (Medline) และบริษัท ในเครือ ได้แก่ Unison Laboratories และ FCP ได้กล่าวถึงประเด็นด้านแนวทางการนำเทคโนโลยีมาใช้เสริมให้กับธุรกิจในเครือทั้ง 3 แห่ง เพื่อฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ที่มีความท้าทายแตกต่างกันออกไปตามประเภทของอุตสาหกรรม ว่า Medline คิอผู้นำเข้าเวชภัณฑ์ยารายใหญ่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
โดยมีลูกค้าหลักคือกลุ่มโรงพยาบาล, คลินิก และร้านขายยา และได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ Unison Laboratories หรือ Unison ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยาแผนปัจจุบัน เพื่อเสริมศักยภาพของกัน และกัน ทำให้ธุรกิจภายในเครือสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการนำเข้า และการผลิตยาด้วยตนเอง และในปี 2540 ทางบริษัทก็ได้ตัดสินใจรุกเข้าสู่ธุรกิจเครื่องสำอาง และอาหารเสริมด้วยการเข้าซื้อบริษัท FCP
เพื่อต่อยอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้ในการผลิตยาแผนปัจจุบันมาปรับใช้กับการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง และขนมขบเคี้ยวด้วยมาตรฐานเดียวกัน และจัดจำหน่ายผ่านหน้าร้านในห้างสรรพสินค้าร้านสะดวกซื้อ และร้านโชว์ห่วยทั่วประเทศไทย และบนช่องทางออนไลน์ที่ https://www.nutriliving.co.th/ รวมถึง Marketplace ชั้นนำแห่งอื่น ๆ ด้วยวิสัยทัศน์การสร้างความเข้มแข็ง และความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับประเทศไทย เพราะยานั้นถือเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่จำเป็นต้องต้องใช้ในการดำรงชีวิต การที่ประเทศไทยมีโรงงานผลิตยาของตนเอง และมีทีมวิจัยพัฒนายาสามัญใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้นั้นก็จะเป็นแนวทางสำคัญที่จะทำให้ทุกคนในประเทศไทยมีโอกาสเข้าถึงยาที่มีคุณภาพได้ในราคาที่เหมาะสม และไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติเพียงอย่างเดียว
นอกเหนือจากการเป็นหนึ่งในเฟืองที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุขให้กับประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ของอุตสาหกรรมยา และสามารถผลิตยา ของประเทศไทย ที่มีคุณภาพให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกอีกด้วย อย่างไรก็ดี การคิดค้นวิจัย และพัฒนายาสามัญขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากยาสามัญแต่ละตำรับต้องใช้เวลา 5 ปีเป็นอย่างน้อย หรืออาจนานกว่านั้นในการพัฒนา และทดสอบจนผ่านทุกข้อกำหนดและมาตรฐาน
ถึงจะสามารถได้รับอนมุัมัติจากอย.ให้วางจำหน่ายได้ ดังนั้นในอุตสาหกรรมยาของประเทศไทยจึงต้องมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากที่จะทำภารกิจที่ใช้เวลายาวนานเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วงได้สำหรับยาแต่ละตำรับ ซึ่งบริษัทในเครือ Medline เองก็ให้ความสำคัญและลงทุนกับการคิดค้นวิจัย และพัฒนายาสามัญใหม่เป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมยา และสาธารณสุขของไทยเข้มแข็ง และมั่นคงยิ่งขึ้น ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ
ปรับธุรกิจรับมือความท้าทาย จากการมาของ COVID-19
แน่นอนว่าวิกฤต COVID-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ได้สร้างผลกระทบให้กับธุรกิจในเครือ Medline ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ธุรกิจทางด้านยานั้นจะถือเป็นอุตสาหกรรมที่โชคดีไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบมากนักจากวิกฤตครั้งนี้ แต่ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินธุรกิจไม่น้อย สำหรับธุรกิจยานั้นยังคงเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องด้วยความที่ยานั้นยังเป็นสิ่งสำคัญในปัจจัยสี่ที่ผู้ป่วยต้องใช้งานอย่างต่อเนื่อง และเลี่ยงไม่ได้
ส่วนทางด้านธุรกิจกลุ่มเครื่องสำอาง และอาหารเสริมเองนั้นก็ได้รับผลกระทบอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากหน้าร้านตามห้างสรรพสินค้านั้นต้องปิดตัวลงไป ทำให้ต้องเร่งเปิดช่องทางออนไลน์ และมองหาวิธีการทำตลาดรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจในเครือ Medline ที่อาศัยหลักในการดำเนินธุรกิจโดยไม่หวังพึ่งช่องทางใดช่องทางหนึ่งมากจนเกินไป และพยายามขยายธุรกิจให้เติบโตและหลากหลาย มากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงมาโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตครั้งนี้ขึ้นทางธุรกิจจึงสามารถปรับกลยุทธ์ไปยังช่องทางหรือตลาดที่ยังไปต่อได้ได้อย่างทันท่วงที และเดิมทีธุรกิจในเครือเองก็มีแผนที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว จึงถือโอกาสนำวิกฤตครั้งนี้มาเร่งเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ทันที บริษัทในเครือในกลุ่มธุรกิจสุขภาพทั้ง 3 แห่ง จึงได้ปรับแนวทางการนำข้อมูลทีมีทั้งผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยก้าวสู่องค์กรในยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล (Data-Driven Organization) ได้
เปลี่ยนการดำเนินธุรกิจให้กลายเป็นดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นในทุก ๆ วัน
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ธุรกิจในเครือ Medline นั้นได้พยายามนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาปรับใช้ในการทำงานอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จากเดิมทีที่เคยทำงานกันในรูปแบบของธุรกิจครอบครัวที่งานส่วนใหญ่นั้นยังเป็นแบบ Manual แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป การนำเทคโนโลยีมาใช้ก็กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สิ่งที่ Medline ทำมาโดยตลอดนั้นก็คือการปรับธุรกิจของตนเองให้มีความ Lean มากขึ้น, Dynamic มากขึ้น และ Efficient มากขึ้นในทุกๆ ส่วน และค่อยๆ มีการนำระบบ IT ต่างๆ เข้ามาช่วยเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น
ด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์มาเปลี่ยนการทำงานที่เคยเป็นแบบ Manual มาเป็นแบบ Semi-Manual ที่มีคอมพิวเตอร์ช่วยประมวลผลหรือจัดการข้อมูลบางส่วนให้ได้ แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นมาก ๆ การทำงานแบบ Semi-Manual ก็เริ่มไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป และ Medline ก็มองหาระบบที่จะช่วยให้ข้อมูลธุรกิจของทั้งเครือเชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด จึงได้ตัดสินใจใช้งาน SAP ในฐานะของระบบ ERP เพื่อจัดการทั้งการเงิน, การทำบัญชี, การผลิต และการบริหารจัดการคลังสินค้า ทำให้ระบบงานเริ่มมีความเป็นมาตรฐาน และเป็นอัตโนมัติมากขึ้นจากการที่มีระบบ ERP นี้มาช่วยกำกับการทำงานส่วนต่างๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางธุรกิจที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี ด้วยความเฉพาะตัวของแต่ละธุรกิจในเครือ ระบบ ERP ทั่วไปจึงยังคงไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุมในทุกส่วนของธุรกิจดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานด้านการวิจัยคิดค้นพัฒนายา
ทุกวันนี้ทาง Medline เองยังคงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานแต่ละส่วนของธุรกิจให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ต้องใช้เวลาศึกษา Flow แต่ละส่วนในการทำงานว่าจะปรับให้นำระบบอัตโนมัติมาควบคุมได้อย่างไร และทางบริษัทก็มีเป้าหมายที่จะปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้ให้เป็นอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ในครั้งนี้ที่ทางบริษัทต้องปรับการทำงานให้สอดคล้องกับมาตรการ Social Distancing และเน้นการทำงานจากที่บ้านเป็นหลัก ทำให้ Medline มีโอกาสได้ลองปรับเปลี่ยนวิธีการในการสื่อสารประชุมงานด้วยการนำระบบประชุมออนไลน์มาใช้งาน และก็พบว่าทำให้การสื่อสารนั้นเป็นไปได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เปลี่ยนความเชื่อจากเดิมว่าการประชุมนั้นต้องพบหน้ากัน มาสู่การทำงานในรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้การนัดประชุมเป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น สามารถพูดคุยสนทนาประเด็นสำคัญทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลานัด และเดินทางกันอีกอย่างในอดีต
ติดอาวุธให้ทีมขายด้วย SAP Customer Experience โดย ISS Consulting (Thailand) Ltd.
สำหรับโครงการหนึ่งซึ่งถือว่าส่งผลต่อธุรกิจในเครือ Medline มากๆ ในช่วงที่ผ่านมานี้ ก็คือการปรับให้ฝ่ายขายของธุรกิจนั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการนำระบบ SAP Customer Experience หรือชื่อเดิมคือ SAP C/4HANA มาใช้ในการบริหารจัดการการขายนั่นเอง การนำโซลูชันของ SAP มาใช้งานในครั้งนี้ทำให้พนักงานฝ่ายขายทุกคนนั้นมีข้อมูลการขายติดตัวอยู่ตลอด และทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยในทุกๆ การขายพนักงานขายแต่ละคนจะมีข้อมูลของลูกค้า และประวัติการสั่งซื้ออย่างครบถ้วน
ทำให้เซลส์ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำอย่างยิ่งขึ้น เข้าใจลูกค้ามากขึ้น และมีบันทึกของการต่อรองราคาทั้งหมดในอดีต ช่วยให้เซลส์สามารถทำการเสนอราคา และสร้างรายการการขายได้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ระบบ SAP Customer Experience นี้ก็ช่วยลดภาระในการทำรายงาน และการส่งเอกสารของฝ่ายขายลงไปเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกและตรวจสอบโดยระบบแล้ว การอนุมัติคำสั่งซื้อต่าง ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้แบบออนไลน์โดยไม่ต้องมีการใช้งานเอกสารกระดาษอีก ช่วยให้การทำงานทั้งหมดเป็นไปได้อย่างคล่องตัว และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
อีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานฝ่ายขายนั้นก็คือการทำให้งานมีความสนุกและไม่น่าเบื่อ รวมถึงสร้างบรรยากาศการแข่งขัน และเป้าหมายในการทำงานให้กับพนักงานแต่ละคนได้ ซึ่ง SAP Customer Experience ก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดีจากการที่ระบบมีข้อมูลสถิติการขายและยอดขายของพนักงานแต่ละคนให้ทุกคนได้ทำการประเมินประสิทธิภาพการทำงานของตนเองอยู่ตลอด ในขณะที่การจัดการกับเอกสารหรือข้อมูลการขายนั้นก็ง่ายดายยิ่งกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก และการตอบสนองลูกค้าก็เป็นไปได้อย่างแม่นยำมากขึ้นด้วยข้อมูลแวดล้อมที่ครบถ้วน ก็ทำให้งานขายนั้นกลายเป็นงานที่สนุกมากขึ้น และเครียดน้อยลงในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ การมีระบบที่รวบรวมข้อมูลการขายนี้ก็ยังช่วยให้ธุรกิจมีความมั่นคงมากขึ้น การส่งถ่ายงานจากคนนึงไปสู่อีกคนนึง หรือจากรุ่นสู่รุ่น จะเป็นไปได้อย่างครบถ้วนไม่ขาดตก เพราะข้อมูลการขายที่ถูกบันทึกอยู่ในระบบ จะสามารถทำให้พนักงานที่รับงานใหม่สามาถศึกษาข้อมูลเดิม รู้ถึงเหตุการณ์ เงื่อนไขที่แตกต่างกันในการขาย และคำสั่งซื้อที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และทำงานได้อย่างต่อเนื่องได้ทันทีโดยไม่สะดุด ส่งผลให้การเปลี่ยนถ่ายทีมงานและโอนถ่ายงานมีความราบรื่นและลดโอกาสความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจได้เป็นอย่างมาก
ภายในโครงการครั้งนี้ทาง Medline ได้เลือกให้ ISS Consulting เข้ามาเป็น Implementer ให้กับระบบ SAP Customer Experience ที่ทำงานอยู่บน Cloud เนื่องจากระบบดังกล่าวนี้ต้องมีการ Integrate ข้อมูลร่วมกับระบบ ERP เดิมของ SAP ที่ใช้งานอยู่แบบ On-Premises ดังนั้น ISS Consulting ที่มีประสบการณ์ด้านโซลูชันของ SAP เป็นอย่างดีจึงสามารถรับบทบาทในส่วนนี้ได้อย่างวางใจ โดยปัจจุบัน Medline มีการใช้งาน SAP Customer Experience สำหรับพนักงานและผู้บริหารฝ่ายขายรวมกันมากกว่า 300 คน ครอบคลุมทั้ง 3 บริษัทในกลุ่มธุรกิจสุขภาพที่มีรูปแบบการดำเนินงานทั้งในแบบของ B2B และ B2C อย่างครบถ้วน
ใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ
ทุกวันนี้โลกเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทุกวัน ดังนั้นในฐานะของผู้บริหารธุรกิจจึงไม่สามารถหยุดนิ่งได้และต้องก้าวให้ทัน อย่ากลัวว่าการเรียนรู้ และนำโซลูชันใหม่ ๆ มาใช้งานในธุรกิจนั้นจะทำให้งานซับซ้อนขึ้น เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้มีแต่จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ดังนั้นจึงควรปรับตัวและนำระบบใหม่ๆ เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการทำงานอยู่ตลอดเวลา การที่ธุรกิจหยุดนิ่งไม่นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือโซลูชันใหม่ ๆ มาปรับปรุงธุรกิจเลยนั้น เพียงแค่เวลาผ่านไปไม่กี่ปีก็อาจทำให้ธุรกิจนั้นขาดความคล่องตัว และล้าหลังกว่าคู่แข่งจนไม่สามารถแข่งขันกันได้อีกแล้ว ซึ่งในมุมของธุรกิจเองอาจมองว่าตนเองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว แต่หากเทียบกับคู่แข่งที่นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้งานอย่างต่อเนื่องนั้นจะเทียบกันไม่ได้เลย
เกี่ยวกับ ISS Consulting
ISS Consulting (Thailand) Ltd. เป็นพาร์ทเนอร์กับ SAP ในระดับ Platinum และ SAP Global Partner ที่สามารถให้บริการด้านการออกแบบ พัฒนา และติดตั้งโซลูชั่นของ SAP อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นระบบ ERP สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก/กลาง/ใหญ่ ในหลากหลายอุตสาหกรรมมาเป็นเวลากว่า 21 ปี โดยปัจจุบันนี้มีลูกค้าธุรกิจและองค์กรทั่วประเทศไทยรวมมากกว่า 250 ราย พร้อมให้บริการทั่วประเทศไทยโดยทีมงานมากกว่า 300 คน
ปัจจุบัน ISS Consulting (Thailand) Ltd. ได้เข้าร่วมเป็นบริษัทในกลุ่ม NTT DATA ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบ SAP และ Data Center ระดับโลก ทำให้บริษัท มีความสามารถในการนำเสนอ SAP Solution และ IT Solution อื่น ๆ ให้กับลูกค้าในประเทศไทยในขอบเขตที่กว้างยิ่งขึ้นและครบวงจรมากยิ่งขึ้น ทางด้าน SAP Partner นั้น ISS Consulting (Thailand) Ltd. ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่ม SAP Global Partner ทำให้บริษัทมีศักยภาพมากขึ้นในการนำเสนอ SAPโซลูชั่นธุรกิจระดับโลก
ผู้ที่ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่อง SAP เพื่อพัฒนาระบบบริหารการจัดการในองค์กรให้ดีขึ้น ISS Consulting พร้อมให้คำปรึกษาในทุกกลุ่มประเภทธุรกิจ ติดต่อได้ที่ โทร 02 237 05553 หรือติดตาม ISS Consulting (Thailand) ได้ที่ Link ด้านล่างนี้
• Website: bit.ly/ISSConsultinbwebsite
• Facebook: bit.ly/issconsultingfb
• Instagram: bit.ly/ISSInstagram
• YouTube: bit.ly/issconsulting
###########
#Medline #DataDrivenOrganization #เมดไลน์ #ERP #ISSConsulting