วีพีเอ็น (VPN) ย่อมาจาก Virtual Private Network ซึ่งการเชื่อมต่อแบบวีพีเอ็นนั้นถือเป็นการเชื่อมต่อที่มีการเข้ารหัสข้อมูล ซึ่งการเข้ารหัสข้อมูลนี้จะเกิดขึ้นระหว่างอุปกรณ์ของผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์วีพีเอ็น ข้อมูลที่รับส่งทุกอย่างนั้นจะถูกรีไดเรกต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์วีพีเอ็นเพื่อทำให้การมีตัวตนบนโลกออนไลน์ของคุณเป็นไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น
ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ที่การท่องอินเทอร์เน็ตเรียกได้ว่าแทบปราศจากมาตรการรักษาความเป็นส่วนตัวที่สมเหตุสมผลไปแล้วนั้น วีพีเอ็นก็ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาดในการปกป้องกิจกรรมและตัวตนของคุณไม่ให้ถูกติดตามหรือรั่วไหลออกไปได้
ถือว่าวีพีเอ็นทำให้คุณปลอดภัยมากขึ้น เข้าถึงได้มากขึ้นโดยที่ปกปิดร่องรอยความมีตัวตนของคุณได้ดีขึ้น สำหรับกลไกการทำงานของวิพีเอ็นนั้น ปกติคอมพิวเตอร์ของคุณถือเป็นเครื่องไคลเอนต์ที่ข้อมูลจะวิ่งไปยังเซิร์ฟเวอร์วีพีเอ็นฝั่งของตัวเองที่เป็นต้นทาง ซึ่งจะมีการเข้ารหัสก่อนที่จะส่งออกไปยังอินเทอร์เน็ต
ขณะที่เซิร์ฟเวอร์วีพีเอ็นที่ปลายทางอีกด้านหนึ่งจะถอดรหัสข้อมูลนี้ก่อนที่จะส่งต่อไปยังอุปกรณ์ปลายทางที่แท้จริงอย่างเช่นเซิร์ฟเวอร์อีเมล์หรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งกระบวนการแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำในทิศทางย้อนกลับจากปลายทางส่งข้อมูลกลับไปยังต้นทาง กลับไปกลับมาเช่นนี้เรื่อยๆ
ซึ่งคุณเองก็สามารถติดตั้งเซิร์ฟเวอร์วีพีเอ็นได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยมีโปรแกรมวีพีเอ็นหลากหลายแบบที่ดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย และจริงๆ แล้วเซิร์ฟเวอร์วีพีเอ็นมักผูกมากับอุปกรณ์หลากหลายประเภทอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบนเราเตอร์แต่ละตัว, อุปกรณ์อย่าง Raspberry Pi, คอมพิวเตอร์บางตัวที่รันวีพีเอ็นอยู่ตลอดเวลา
หรือแม้แต่อุปกรณ์อย่าง NAS เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการแนะนำให้ติดตั้งตัวรับเซิร์ฟเวอร์วีพีเอ็นเพื่อที่คุณจะสามารถเข้าถึงเครือข่ายภายในบ้านได้อย่างปลอดภัยจากภายนอกด้วย ซึ่งหมายความว่า คุณควรจะสามารถตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์วีพีเอ็น และวีพีเอ็นไคลเอนต์ได้อย่างถูกต้องด้วยตัวเอง
ในส่วนของวีพีเอ็นนั้นมีหลายฟีเจอร์ที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยหลักๆ มักนำมาใช้ในกลุ่มนักธุรกิจและนักเดินทางเพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้าและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
แต่ในความเป็นจริง คนทั่วไปอย่างเราๆ ก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้วีพีเอ็นเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นขณะเดินทางอยู่บนถนนแล้วต้องการเช็คเมล์อย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่การแก้ไขเอกสารขณะอยู่ที่สนามบินเพื่อเดินทางไปยังจุดนัดหมาย
สิ่งที่ทำได้ก็มักจะเป็นการล็อกอินเข้าเครือข่ายไร้สายของสนามบินที่เปิดให้ใช้สาธารณะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักไม่มีการเข้ารหัส ทำให้คนอื่นสามารถเข้าไปอ่านข้อมูลที่วิ่งบนไวไฟดังกล่าวได้โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือแอพที่มีให้โหลดได้ทั่วไป เป็นต้น
ที่มา : GBHackers