แลร์รี่ เอลลิสัน ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของออราเคิล กล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน Oracle OpenWorld พร้อมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับระบบคลาวด์เจนเนอเรชั่น 2 (Gen 2) ซึ่งออกแบบเป็นพิเศษสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ และมีความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีและความปลอดภัยมากกว่าระบบคลาวด์อื่นใดที่มีอยู่ในตลาด
ระบบคลาวด์เจนเนอเรชั่น 1 สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีที่ใช้งานมานานเกือบทศวรรษ ในขณะที่ระบบคลาวด์ Gen 2 ของออราเคิลได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถรันเวิร์กโหลดที่ต้องการมากที่สุดได้อย่างปลอดภัย ด้วยสถาปัตยกรรมและความสามารถที่โดดเด่น Oracle Cloud จึงสามารถนำเสนอความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และการประหยัดค่าใช้จ่ายที่เหนือกว่า นอกจากนี้ มีเพียง Oracle Gen 2 Cloud เท่านั้นที่สร้างขึ้นเพื่อทำงานกับระบบฐานข้อมูล Oracle Autonomous Database ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลเพียงหนึ่งเดียวที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วยตนเอง
โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของออราเคิล (Oracle Cloud Infrastructure) เป็นพื้นฐานในการทำงานของระบบคลาวด์ Gen 2 ของออราเคิล ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อรันเวิร์กโหลดระดับองค์กรอย่างปลอดภัย บริการ IaaS ที่ทันสมัยของออราเคิลให้การสนับสนุนแบบเนทีฟสำหรับ Oracle Autonomous Database และยกระดับการรักษาความปลอดภัยอย่างเหนือชั้น โดยครอบคลุมตั้งแต่เครือข่ายส่วนแกนหลักไปจนถึงส่วนรอบนอก เพื่อปกป้องข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่ง
เอลลิสันได้กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันของการป้องกันทางไซเบอร์ ซึ่งเขาระบุว่า “ยังไม่ดีพอ” ในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญนี้ เอลลิสันได้เปิดตัวบริการรักษาความปลอดภัยใหม่ๆ บน Oracle Cloud Infrastructure ซึ่งทำงานแบบอัตโนมัติ สามารถตรวจจับและคาดการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัย เอลลิสันตอกย้ำถึงความปลอดภัยที่เหนือกว่าของ Oracle Cloud โดยอธิบายว่าระบบฐานข้อมูล Oracle Autonomous Database จะสแกนหาภัยคุกคามด้านความปลอดภัย และติดตั้งการอัพเดตด้านความปลอดภัย ควบคู่ไปกับการป้องกันการโจมตีทางคอมพิวเตอร์และการโจรกรรมข้อมูล
นอกจากนี้ เอลลิสันยังได้กล่าวถึง Oracle Autonomous Database ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลที่มีความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีและได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก Oracle Autonomous Database ปฏิวัติการจัดการฐานข้อมูล โดยทำหน้าที่บริหารจัดการ ปรับแต่ง และแก้ไขจุดบกพร่องโดยอัตโนมัติ จึงช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้รวดเร็วมากขึ้นบนแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัยสูง และเสียค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนที่ใช้งานจริงเท่านั้น
เอลลิสันได้แสดงตัวอย่างของตัวเลือกการติดตั้งใหม่ๆ เช่น Exadata Cloud Infrastructure และ Cloud at Customer ซึ่งขยายขีดความสามารถด้าน Autonomous Database ของออราเคิล โดยลูกค้าสามารถเลือกที่จะติดตั้ง Autonomous Database บน Dedicated Exadata Cloud Infrastructure สำหรับการแยกเวิร์กโหลด เพื่อรองรับความปลอดภัยและเสถียรภาพที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับเวิร์กโหลดที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงาน ส่วน Oracle Autonomous Database Cloud at Customer เหมาะสำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการย้ายไปสู่ระบบคลาวด์สาธารณะ เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องกฎระเบียบ แต่ต้องการใช้ประโยชน์จาก Oracle Autonomous Database ในดาต้าเซ็นเตอร์ของตนเอง
นอกจากนี้ เอลลิสันยังได้แสดงผลการทดสอบประสิทธิภาพในช่วงของการสาธิตสั้นๆ โดยเน้นย้ำถึงประสิทธิภาพที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างเทคโนโลยีของออราเคิลและ Amazon การทดสอบประสิทธิภาพดังกล่าวเปรียบเทียบ Oracle Autonomous Database กับผลิตภัณฑ์หลักจาก Amazon นั่นคือ ระบบฐานข้อมูลของออราเคิลที่รันบน Amazon Relational Database Service (RDS), Amazon Aurora และ Amazon Redshift การเปรียบเทียบโดยตรงยังแสดงให้เห็นว่า Oracle Autonomous Database สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดชะงักระหว่างการอัพเดตฐานข้อมูล นับเป็นการตอกย้ำถึงความแตกต่างระหว่าง SLA ด้านเสถียรภาพและความพร้อมใช้งานของ Amazon ที่ 99.95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่รวมสาเหตุส่วนใหญ่ของกรณีระบบหยุดทำงานตามแผนที่วางไว้และกรณีที่ไม่ได้วางแผนไว้ กับการรับประกัน SLA ของออราเคิลที่สูงถึง 99.995 เปอร์เซ็นต์
ที่มา : ข่าวพีอาร์