Wi-Fi Calling อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านานหลายปีแล้ว โดยเป็นฟีเจอร์ที่มีอยู่บนสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์และ iOS เกือบทุกเครื่อง จนหลายคนไม่ได้ให้ความสนใจว่ามีฟีเจอร์ล้ำค่านี้ปิดอยู่โดยดีฟอลต์ ฟีเจอร์นี้มีชื่อเรียกทางการว่า Voice over WLAN ที่ใช้การเข้าวีพีเอ็นส่งแพ๊กเก็ตเสียงผ่านเน็ตไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม เพื่อส่งต่อไปยังปลายทางผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ธรรมดาหรือ PSTN อีกที
เทคโนโลยีนี้มีวัตถุประสงค์แต่เริ่มแรกเพื่อแก้ปัญหาผู้ใช้ที่อยู่ในจุดอับสัญญาณ เช่นตามคอนโดหรือตึกสูง หรือในอาคารขนาดใหญ่ แต่เมื่อเร็วๆ นี้หลายคนเริ่มตระหนักถึงเทคโนโลยี Wi-Fi ที่ถูกยกระดับจะทำให้ได้คุณภาพเสียงดีกว่าเครือข่ายโทรศัพท์ปกติเสียอีก และหันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ทั้งนี้ คุณภาพและประสิทธิภาพในการใช้วอยซ์ผ่าน Wi-Fi ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วแต่เพียงอย่างเดียว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่องค์กรหรือเจ้าของเครือข่ายในอาคารต้องคำนึงถึง เพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในที่ทำงานหรือ BYOD ได้เต็มที่ที่สุด
เริ่มจากการทำให้แน่ใจว่า ได้เปิดอนุญาตพอร์ตบนไฟร์วอลล์เพื่อให้อุปกรณ์เชื่อมต่อผ่าน IPsec VPN และรับส่งข้อมูลวอยซ์ได้ ซึ่งได้แก่พอร์ต UDP 500 และ 4500 มิฉะนั้นจะไม่สามารถใช้วอยซ์ได้เลย ต่อจากนั้นเราค่อยมาเริ่มปรับเสริมเติมเครือข่ายให้ได้ประสิทธิภาพวอยซ์ผ่านไวไฟที่ดีที่สุด ดังนี้
• ออกแบบโดยคำนึงถึงความหนาแน่นในการใช้งาน เพราะ 1 AP มักรองรับอุปกรณ์ได้จำกัดจำนวนหนึ่ง เหมือนเสาสัญญาณของผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั่วไปเช่นกัน ดังนั้น พิจารณาถึงจำนวนอุปกรณ์ที่จะใช้พร้อมกันมากที่สุดเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสัญญาณหายเพราะคนรุมแย่งกันใช้
• ระวังปริมาณข้อมูลบนเน็ตที่พุ่งสูงขึ้นเกิดคาด เนื่องจากการโทรผ่าน Wi-Fi หนึ่งสาย ใช้แบนด์วิธประมาณ 12 – 72Kbps แม้จะดูเล็ก แต่ถ้าองค์กรคุณมีพนักงานจำนวนมากที่พร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยพร้อมกันก็อาจเป็นปัญหาได้
• จัดการ QoS บนเครือข่ายไร้สายด้วย ไม่ใช่ไปมองการทำ QoS เฉพาะแลนอย่างเดียว โดยสร้างโพลิซีให้รองรับบริการ WiFi Multimedia (WMM) ที่หลากหลาย
• ทำให้การโรมมิ่งเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด ไม่ใช่เดินไปคุยไปแล้วสัญญาณขาดๆ หายๆ ลองดูเทคโนโลยีอย่างการยืนยันตนแบบ 802.1X ที่เอื้อกับการโรมมิ่ง รวมทั้งเทคโนโลยีอย่าง 802.11k และ 802.11v
• ดึงให้อุปกรณ์พกพาที่จะใช้วอยซ์ มาใช้ย่านความถี่ 5GHz แทน 2.4GHz เนื่องจากอุปกรณ์ส่วนใหญ่ไปรุมแย่งใช้ 2.4GHz แถมย่านความถี่ที่สูงกว่าจะมีช่องสัญญาณให้ใช้เยอะกว่าโดยไม่ซ้อนทับกันด้วย คุณอาจจะตั้งค่าผ่านการใช้ SSID ที่บังคับให้สื่อสารผ่าน 5GHz เท่านั้น หรือใช้เทคนิค Band Steering บีบบังคับผู้ใช้แทนก็ได้
ที่มา : https://www.networkcomputing.com/networking/your-network-optimized-wifi-calling/292001714